จากกรณี วันนี้ 19 มิ.ย.65 กลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อนจากการลงทุนซื้อเเฟรนไชส์ร้านซูชิชื่อดัง เจ้าของแบรนด์จัดโปรขายว็อชเชอร์ดึงลูกค้า สุดท้ายไม่ส่งวัตถุดิบ จนต้องปิดร้าน
โดย คุณส้ม หนึ่งในผู้เสียหายที่ซื้อเเฟรนไชส์ เล่าว่า ตนลงทุนซื้อเเฟรนไชส์ไปเป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยทางเจ้าของแบรนด์จะเป็นคนดำเนินการให้ทุกอย่าทั้งสถานที่ พนักงาน และวัตถุดิบ ส่วนเราจะได้ส่วนแบ่งจากยอดขายทั้งหมด 10 เปอร์เซ็นต์
จากนั้น เปิดมาได้เพียง 3 เดือน สุดท้ายต้องปิดร้านเพราะ ทางเจ้าของแบรนด์ส่งวัตถุดิบมาไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าที่ซื้อว็อชเชอร์ไป ซึ่งเท่าที่ทราบมีการขายวอชเชอร์บุฟเฟ่ไปในราคา 199 บาท จากนั้นก็ติดต่อเจ้าของแบรนด์ไม่ได้อีก ซึ่งตามสัญญาต้องใช้ของทุกอย่างรวมถึงวัตถุดิบของทางแบรนด์เท่านั้น ในเมื่อไม่มีวัตถุดิบ ตนจึงจำเป็นต้องปิดสาขาไป และเท่าที่ทราบมีทั้งหมด 26 สาขา เปิดแล้ว 20 สาขาซึ่งทุกสาขาได้รับผลกระทบทั้งหมด
อีกรายคือ คุณน้ำ ผู้เสียหายที่จ่ายเงินค่าเเฟรนไชส์ร้านซูชิดังไปกว่า 2.5 ล้าน สุดท้ายไม่ได้เปิดร้าน ตนรู้จักกับเจ้าของแบรนด์ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ และมีการชักชวนกันให้ซื้อเเฟรนไชส์ ก่อนที่จะลงทุนก็ได้ศึกษาและยังได้ไปดูการค้าขายสาขาที่เปิดก่อนหน้านี้ รวมถึงสอบถามเจ้าของสาขาที่ได้รับผลกำไร 3 เดือน กว่าแสนบาท จึงได้ตกลงที่จะซื้อเเฟรนไชส์ โดยจ่ายเงินสดไป 5 แสนบาท และโอนให้อีก 3 ครับจนครบ 2 ล้าน 5 แสนบาท โดยตกลงกันว่าจะสามารถเปิดได้ในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา
และก่อนหน้ามีการส่งภาพถ่ายสาขาที่ตนจะได้มาให้ดู ตนได้แต่ตั้งตารอสุดท้ายก็ขาดการติดต่อกับเจ้าของแบรนด์ไปในเวลาประมาณ ตี 1ของวันศุกร์ ที่ 17 มิถุนายน 2565 จนวันนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ ตอนนี้เดือดร้อนมากร้านก็ไม่ได้เปิด เงินก็ไม่ได้คืน
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า สำหรับเคสนี้ เป็นการลงทุนซื้อเเฟรนไชส์ร้านซูชิชื่อดัง สุดท้ายเมื่อถึงเวลากลับไม่ได้เปิดร้าน บางสาขาได้เปิดแต่เจ้าของแบรนด์กลับส่งวัตถุดิบมาไม่เพียงพอกับที่ขายว็อชเชอร์ไปหลายแสนใบเป็นเงินหลายสิบล้านบาท แต่กลับไม่ได้ทาน ที่แย่กว่านั้นจู่ๆเจ้าของแบรนด์ก็หายตัวไปเฉยๆ หลังจากนี้จะรวบรวมข้อมูลและผู้เสียหายไปแจ้งความที่ กองปราบปรามฯในวันที่ 20มิ.ย.65 เวลา 10.00 น. ต่อไป