จากรณีที่ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด (JSL) ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่ออย่างมาก ทั้งการเกิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์จำนวนมาก ทั้งผลกระทบจาก DIGITAL DISRUPTION และการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างมาก แม้ตลอดมาบรัษัทฯจะพยายามปรับตัวในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สามารถยืนหยัดในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงได้ต่อไป เพื่อที่จะได้สร้างผลงานที่ดีมีคุณภาพให้กับผู้ชมของเรา แต่ก็ยังไม่บรรลุผลตามที่ตั้งเป้าหมายได้ บริษัท เจ เอส แอล โกบอล มีเดีย จำกัด จึงเห็นสมควรที่จะยุติการดำเนินงานบางส่วนลง นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา ก็มีอดีตพนักงานรายหนึ่ง ได้โพสต์โพสต์เฟซบุ๊กร่ายยาวถึงตอนที่รู่ข่าวว่าบริษัทปิดทันที และจะได้รับเงินชดเชด 16% ระบุว่า "เมื่อมีการประกาศปิดบริษัททันที ไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่แต่ละคนยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานกันอยู่ ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บอกว่าเราไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะเรายังคงเตรียมงานที่จะเกิดขึ้นต่อไปในเดือนหน้า เมื่อประกาศปิดปุ๊บ สายตาของแต่ละคนที่หันมองกัน ว่า แล้วจะยังไงกันต่อดี จะทำยังไงละทีนี้ จะบอกครอบครัวยังไง จะหาเงินจากไหนมาเลี้ยงครอบครัวต่อไป สมองตื้อไปหมด
พี่ๆ หลายคนทำงานอยู่ที่นี่มานานมาก พอๆ กับอายุของบริษัท หลายคนทำงานมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว จนถึงวันนี้กำลังเข้าสู่รุ่นสูงวัย ที่คิดว่าท้ายสุดจะได้เงินเก็บก้อนนี้ไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างมีความสุข
ถามว่าทำไมถึงทำงานที่นี่นานขนาดนี้ ตอบได้เลยว่า เพราะเราได้รับความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอดจากผู้บริหาร ที่บอกว่า เราจะทำงานไปด้วยกัน เราจะสู้ไปด้วยกัน เราอยู่กันแบบครอบครัวที่อบอุ่น และเราคิดว่าที่นี่คือ "บ้าน" ของเรา เราร่วมกันฝ่าฟันมาทุกวิกฤตทางเศรษฐกิจเพื่อให้ "บ้าน" ของเราอยู่รอดให้ได้ ยอมลดเงินเดือน ยอมหักโอที และตั้งใจทุ่มเททำงานให้บ้านหลังนี้ต้องรอดต่อไปให้ได้ ในวันนี้ วันที่บริษัทประกาศปิดกิจการ เรารู้สึกเสียใจที่บ้านหลังนี้ ที่เราเคยอยู่ร่วมกันมาเกินกว่า 20-30 ปี กำลังจะปิดลง น้ำตาไหลในอกโดยไม่รู้ตัว ใจหาย และได้แต่มองหน้ากัน และปลอบประโลมกันไป
เอาน่า พวกเรายังมีเงินชดเชยที่พอจะเอาไปเลี้ยงดูครอบครัวได้สักระยะหนึ่ง พอให้เราได้ลืมตาอ้าปาก ตั้งต้นทำอะไรได้บ้าง เจ้าของบ้านหลังนี้มีความอบอุ่นและเมตตามาโดยตลอด
และเมื่อถึงเวลาที่เราต้องลาจากบ้านหลังนี้ กับความหวังเล็กๆ ของเรา กลับเป็นสิ่งเล็กๆ เล็กมากเสียจนต้องหันมามองหน้ากันว่า เราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง หันไปเห็นน้ำตาของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่คิดไม่ออกหนักกว่าเดิมว่าจะไปทำอะไรได้บ้างกับเงินชดเชยเพียง 16% หลายคนเริ่มร้องไห้ แววตามีแต่ความวิตกกังวล จะทำยังไงต่อล่ะทีนี้ เงินเดือนต่อไปก็ไม่มีแล้ว จะเอาเงินชดเชย 16% ไปต่อชีวิตก็น้อยเหลือเกิน จะอยู่ให้รอดถึงสิ้นเดือนนี้มั้ย ค่านมลูก ค่าผ้าอ้อมลูก ผ้าอ้อมแม่ ค่าหยูกยาของพ่อ และจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดี ก็ได้แต่ภาวนาอ้อนวอนให้ทุกคนเข้มแข็งและไม่คิดทำร้ายตัวเองนะ"