เรียกได้ว่ากลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จากกรณีที่เพจ มูลนิธิรณรงค์ ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของ "เสี่ยเค้ก" พ่อค้าบะหมี่ชื่อดัง เจ้าของร้าน "ฮ่องเต้บะหมี่เกี๊ยวปูหมูแดง" หมู่บ้านกฤษดานคร ถนนแจ้งวัฒนะ กลายเป็นที่รู้จักเพราะมักจะสวมใส่ทองเส้นใหญ่เท่าโซ่ เต็มคอและข้อมือ จนกลายเป็นที่สะดุดตา และด้วยความใจดี ก็ได้ติดป้ายที่หน้าร้านไว้ว่า "สตรีมีครรภ์ คนจน คนไร้ที่พึ่งขอกินฟรีได้ตลอด" ได้เข้าปรึกษาทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม และว่าที่ร้อยตรี รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิฯ หลังสวมใส่ทองเส้นใหญ่ และคลิปจะซื้อทอง 100 บาทว่อนโซเชียล
โดย เสี่ยเค้ก หรือ นายรังสรรค์ สุวรรณศร อายุ 57 ปี ยืนยันทองที่ใส่มาจากการขายที่ดินครอบครัว และทำมาหากินเก็บหอมรอมริบ ทั้งยังบอกอีกว่า งงเป็นแค่พ่อค้าริมทางถูกสรรพากรจะมาตรวจสอบเลยหรือ
เสี่ยเค้กบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ส่วนตัวแล้วไม่ได้กังวลหากสรรพากรจะมาตรวจสอบ เพราะเงินที่ได้มานั้นได้มาโดยสุจริต แต่ที่เสียใจและนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าเพียงเพราะตนขายก๋วยเตี๋ยว มีผิวคล้ำ มีรอยสัก พอใส่ทองเส้นใหญ่ และมีความฝันว่าจะได้สวมใส่ทองเส้นละ 100 บาท ถึงกับต้องลงพื้นที่มาตรวจสอบกันเลยหรือ ทั้งที่ตนเป็นพ่อค้าริมทาง และเกิดข้อสงสัยว่า เจ้าของร้านบะหมี่เกี๊ยวจะใส่ทองคำเส้นละ 10 บาทไม่ได้เลยหรือ
ทั้งนี้ เสี่ยเค้กยังเปิดใจถึงที่มาที่ไปของทองที่ใส่อยู่ที่คอและข้อมือด้วยว่า จุดเริ่มต้นมาจากการขายที่ดินของทางครอบครัว เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นตนได้เงินมาประมาณ 80,000 บาท เพราะเป็นการขายต่อให้กับพี่สาว จึงนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อทองเก็บไว้ และขายบะหมี่มาก่อนหน้านั้น จนกระทั่งขายไปขายมาก็รวบรวมเงินทอง
จนกลายเป็นตอนนี้ที่ใส่อยู่คือทองคำเส้นละ 10 บาท 2 เส้น และที่ข้อมือ เส้นละ 5 บาท รวม แล้ว 25 บาท มูลค่าตอนนี้ 1 ล้านบาท และใส่แบบนี้มาขายบะหมี่เกี๊ยวทุกวัน และยังบอกอีกว่า กว่าตนเองจะเก็บหอมรอมริบได้ทองเส้นใหญ่ขนาดนี้ ตนขายก๋วยเตี๋ยวมา 32 ปี เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์มาก แม้แต่กาแฟยี่ห้อดังก็ไม่กล้ากิน กับข้าวกับปลาก็ทำกินกันเองในครอบครัว กินชามเดียวกับภรรยา กำไรที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวต่อวัน นำไปหยอดกระปุก อย่างน้อย 1,000 บาท และไม่มีการนำออกมาใช้ แม้จะใส่ทองเส้นใหญ่ แต่เสื้อและกางเกง ไม่เกิน 200 บาท
ทุกวันนี้ยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ ส่งก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าที่มาสั่งอยู่เลย เพราะในชีวิตมีสิ่งเดียวที่ตนปรารถนานั่นคือทองคำ จึงเก็บเงินขวนขวายที่จะซื้อทองคำเส้นใหญ่ๆ มาใส่ เพราะมันทำให้รู้สึกมีกำลังใจมีแรงผลักดันในการทำงานต่อไป
ส่วนประเด็นที่บอกว่า ตนกำลังเตรียมเงินเพื่อไปซื้อทอง 100 บาทนั้น ก็ยอมรับว่าได้เข้าไปในร้านทองแห่งหนึ่ง เพื่อไปเปลี่ยนลายทองที่ข้อมือ ปรากฏว่าพอเข้าไปในร้าน ก็เห็นทองเส้นละ 100 บาท เส้นใหญ่สวยงามมาก มีความตั้งใจว่าต่อไปจะต้องเก็บเงินเพิ่มเพื่อซื้อทอง ให้ครบ 100 บาท
ซึ่งตอนนี้มีแล้ว 25 บาท ก็เหลืออีก 75 บาท นี่ก็คือความใฝ่ฝันของตัวเอง ขณะที่ในวันนั้นแม่ค้าก็เห็นว่าตนใส่ทองเส้นใหญ่เข้าไปในร้าน ก็เลยให้ตนลองสวมทองเส้นละ 100 บาท เพื่อทำคอนเทนต์โปรโมตร้าน แล้วก็โปรโมตตัวเองด้วย ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อทอง 100 บาท เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
และได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ถึงกรณีการค้าขายบะหมี่ และมีเงินซื้อทอง รวมแล้ว 25 บาท ซึ่งเมื่อทนายรณรงค์ได้ฟังข้อมูลจากเสี่ยเค้กแล้ว ก็บอกว่า ไม่น่ากังวลอะไรเพราะกำไรจากการขายบะหมี่เกี๊ยวต่อวัน อยู่ที่ประมาณวันละ 2,000 กว่าบาท หรือบางวันก็ขาดทุนด้วยซ้ำ หากคำนวณจากรายได้แล้วน่าจะไม่เกิน 1 ล้าน 8 แสนบาทต่อปี
ตนเห็นเสี่ยเค้กขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่ตัวเองยังเด็ก เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวของเสี่ยเค้กทุกวัน และยังรู้ด้วยว่าเสี่ยเค้กเป็นคนที่ประหยัดมาก รู้สึกไม่แปลกใจอะไรที่เสี่ยเค้กจะสวมใส่ทองเส้นละ 10 บาท 2 เส้น บนคอจนดูเหลืองอร่าม ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เสียเค้กนำออกมาโชว์
นอกนั้นก็เห็นว่าแกขับรถธรรมดาแต่งตัวธรรมดา ใช้ชีวิตประจำวันเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่หรูหราอะไร ซึ่งเรื่องนี้หากสรรพากรลงพื้นที่มาตรวจสอบ ก็ต้องให้เขาตรวจสอบไปตามกระบวนการ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล และไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่า "งานเข้า" ตามที่สื่อบางสื่อลงไป
ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม - CRSJ Foundation