เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 เจ้าหน้าที่สืบนครบาล ร่วมกับ นักเรียนหลักสูตรการสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 115 จับกุม
1. นายสุรศักดิ์ หรือบังโอ๋ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2985/2567 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2567
2. นายนราธิป หรือโก๋อุ้ม อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2986/2567 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2567
กระทำความผิดฐาน "ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส,ร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน,ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และพาอาวุธ(มีด)ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร" จับกุมบริเวณลานโล่งปากซอยลาดพร้าว 85 ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองถนนสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์กล่าวคือ เย็นวันหนึ่งกลางเดือน มีนาคม 2567 ขณะที่ หญิงสาวคนหนึ่งเดินกลับจากเลิกงานเพื่อจะโดยสารรถจักรยานยนต์หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านวังทองหลาง เพื่อจะมุ่งหน้ากลับบ้านของเธอ เมื่อเธอมาถึงที่บริเวณห่างจากวินจักรยานยนต์ประมาณ 700 เมตร นายสุรศักดิ์ หรือ “บังโอ๋ ลาดพร้าว 85” ได้ขับรถมาเทียบท่ารอให้เธอขึ้นรถ แต่ปรากฎด้วยความที่เธอตัวเล็ก และรถจักรยานยนต์ค่อนข้างสูง เธอจึงขอให้เปลี่ยนรถคันใหม่เพราะนั่งไม่สะดวก หลังจากนั้น “บังโอ๋” ขับรถหายไปจากบริเวณดังกล่าวพร้อมกับบอกว่า “เดี๋ยวจะไปตามวินคนอื่นมารับ” แต่ปรากฏเวลาผ่านไป 30 นาที จนเธอยืนรอแทบไม่ไหว ตัดสินใจเดินกลับไปที่วิน และต่อว่า “บังโอ๋” ว่าทำไมถึงไม่มีรถมารับและปล่อยให้เธอต้องยืนรอนาน เมื่อได้ยินเสียงบ่นของหญิงสาวผู้นั้น บันดลความโกรธให้กับ “บังโอ๋” จนง้างมือฟาดเพื่อจะตบเข้าไปที่ใบหน้าของหญิงสาว แต่เธอหลบได้ทัน พร้อมกับวิ่งหลบหนีไป และโทรศัพท์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แฟนของเธอได้ฟัง ซึ่งแฟนของหญิงคนดังกล่าวซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ทราบเรื่องจึงรีบชวนลูกชายบึ่งมาที่บริเวณวินดังกล่าว และได้เห็นว่ามีนายนราธิป หรือ “โก๋อุ้ม ลาดพร้าว 87” อยู่ที่บริเวณดังกล่าวด้วย ถึงได้ทราบเรื่องว่าแฟนสาวและแม่ของตนถูกวินเถื่อนพวกนี้อาละวาดใส่
หลังจากนั้นได้เกิดการโต้เถียงปะทะคารมกันชุดใหญ่ ไม่ทันไร “บังโอ๋ ลาดพร้าว 85” ลูกพี่ใหญ่พร้อมใจกับลูกน้อง “โก๋อุ้ม ลาดพร้าว 87” จัดการรุมสาวหมัดเข้าซัดผู้เสียหายผู้พ่อจนล้มลงไปกองกับพื้น หลังจากนั้นจึงเกิดการบรรเลงเพลงหมัดกันชุดใหญ่ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จน “โก๋อุ้ม” เริ่มถอย และเอ่ยขึ้นมาว่า “มึงรออยู่นี่นะ เดี๋ยวกูกลับมา” ผ่านไปไม่ถึง 3 นาที “โก๋อุ้ม” กลับมาพร้อมกับอาวุธมีดขอยาวประมาณ 80 ซม. พร้อมกับหยิบอาวุธมีดหัวตัด ยาวประมาณ 100 ซม. โยนมาให้กับ “บังโอ๋” ใช้เป็นอาวุธประจำกาย จนสองพ่อลูกผู้เสียหายเห็นภาพนั้น รู้ได้เลยว่ากำลังถูก 2 วินสายโหด หมายเอาชีวิต พากันพยายามวิ่งหนีหลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในบ้าน แต่ปรากฎว่าผู้เสียหายคนลูกวิ่งหนีเข้าไปในบ้านไม่ทัน จึงซุกตัวอยู่ข้างรถจักรยาน แต่ในทันทีทันใด “บังโอ๋ และโก๋อุ้ม” ตามมาถึงบริเวณที่ผู้เสียหายคนลูกอยู่อย่างกระชั้นชิด พร้อมกับง้างมีดดาบที่พกติดตัวมาด้วย ยกดาบขึ้นสุดแขนคล้ายกับท่าทางของซามูไร ฟันฉับลงไปหมายจะให้ผ่ากลางหัวของเจ้าทุกข์ พร้อมกับสบถออกมาว่า “มึงเก่งหรอ งั้นมึงตาย” แต่เสมือนสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดสั่งการให้แขนของเค้า จับจักรยานที่อยู่ตรงหน้า ยกขึ้นกันเพลงดาบเล่มนั้นไว้ได้ทัน รอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับวิ่งหนีออกมากจากจุดดังกล่าวเพื่อเอาชีวิตรอด
“บังโอ๋ และโก๋อุ้ม” ยังโกรธแค้นเหมือนเคยเข่นฆ่ากันมาตั้งแต่ชาติก่อน วิ่งตีคู่ไล่ตามหวังจะเอาชีวิตให้ได้ ผู้เสียหายผู้เป็นพ่อเห็นท่าไม่ดี สัญชาตญาณความเป็นพ่อ ลืมอันตรายทุกอย่างที่ขวางหน้า ตัดสินใจคว้าอาวุธมีด วิ่งไปช่วยลูก จนเกิดการปะทะเพลงดาบกันเหมือนอย่างในหนัง จนมีดดาบของผู้เสียหายที่เล็กกว่านั้น หักลงครึ่งท่อน และเป็นเหตุให้กระดูกนิ้วมือของผู้เสียหายแตกละเอียดจนได้รับบาดเจ็บ แต่ยังตัดสินใจคว้ามือลูกวิ่งต่อ จนสามารถหนีกลับเข้าไปหลบในบ้านได้ แต่ยังไม่วาย ถูก “โก๋อุ้ม” ฟันกระจกหน้าบ้านแตกละเอียด เพื่อระบายอารมณ์ หลังจากนั้น เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงที่ “บังโอ๋ และโก๋อุ้ม” เดินวนเวียนเอามีดดาบลากพื้นครืดไปมา ตะโกนท้าทายทั้ง 2 คน ตลอดเวลา “พวกมึงแน่จริงก็ออกมา กูจะฟันให้หัวแบะเลย” โก๋อุ้มตะโกนสบถท้าทายอย่างหยาบคาย พร้อมกับใช้มีดดาบสับเบาะรถจักรยานยนต์ที่จอดทิ้งไว้หน้าบ้าน เละจนเหมือนหมูสับ สองพ่อลูกช่วยกันขนโซฟามาขวางประตูบ้าน และขดตัวหลบอยู่ในหลืบอย่างหวาดกลัว จนกลุ่มคนร้ายถอดใจและเดินออกจากบริเวณดังกล่าวไป
ทั้งสองคนพ่อลูกตัดสินใจรวบรวมความกล้าเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย จนล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ไว้แล้ว พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้รับรายงานเหตุดังกล่าว และเห็นว่าหากปล่อยให้ คนร้ายที่มีพฤติการณ์อุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้ง 2 รายนี้ ที่ประกอบอาชีพวินรับจ้าง ยังเพ่นพ่านอยู่ในสังคม อาจจะเป็นอันตรายแก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ สั่งการส่งชุดสืบสารวัตรแจ๊ะ ยกโขยงลูกศิษย์ หลักสูตรสืบสวนคดีอาญารุ่นที่ 115 ชุดที่ 7 ทั้ง 5 ชีวิต ลงพื้นที่สืบสวนแกะรอย จนพบว่า “บังโอ๋และโก๋อุ้ม” คนร้ายทั้ง 2 คนนี้ ยังทำงานเป็นวินจักรยานยนต์รับจ้างอยู่ลอยหน้าลอยตาแบบหน้าตาเฉย จึงวางกำลังซุ่มโปรง สังเกตพฤติกรรมของคนร้ายทั้ง 2 คนนี้ จนเห็นว่าคนร้ายทั้ง 2 รายนี้ หลังเลิกขับวิน จะรับจ๊อบเสริมรดน้ำต้นไม้ ให้พื้นที่รกร้างริมถนนลาดพร้าว เมื่อจังหวะเวลาฤกษ์งามยามดี ชุดจุบกัมจึงยกโขยงกันเข้าไปจับกุมคนร้ายทั้ง 2 คน ได้ในที่สุด
ในชั้นจับกุม “บังโอ๋ และโก๋อุ้ม” ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ ตนเองยืนยันว่าฝ่ายผู้เสียหายเป็นคนหาเรื่องก่อน จากการไม่พอใจที่ตนปล่อยให้ผู้หญิงที่เป็นเมียของผู้เสียหายต้องรอรถนาน เมื่อบังโอ๋โดนต่อย โก๋อุ้มซึ่งเป็นน้องเลยต้องมาช่วย แต่ในส่วนที่กลับไปหยิบอาวุธมาใช้ทำร้ายผู้เสียหายนั้น ตนเองยืนยันว่าพวกของตนไม่ได้ฟันผู้เสียหายแบบสับเป็นหมู แต่ฟันแค่ระยะประชิดเพื่อป้องกันตัว” หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายสุรศักดิ์ และนายนราธิป ส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ เนื่องจากพยานหลักฐานที่มีค่อนข้างแน่นหน้าและรัดกุม ประกอบกับผู้เสียหายในคดีนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พฤติการณ์ของคนร้าย 2 คนนี้ ถือได้ว่าเป็นภัยต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนร้ายเป็นวินจักรยานยนต์รับจ้าง ทั้ง 2 คน เป็นอาชีพที่ประชาชนทั่วไปต้องสัมผัสเป็นประจำทุกวัน หากปล่อยให้คนที่มีพฤติกรรมนิยมความรุนแรงเช่นนี้เพ่นพ่านอยู่ในสังคมได้โดยปกติสุข อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนคนอื่นได้อีกในอนาคต จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มีข้อมูลหรือพบเห็นวินจักรยานยนต์หรือคนขับรถโดยสารประเภทอื่น มีพฤติกรรมรุนแรงและอุกอาจเช่นนี้ โปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ “สืบนครบาล IDMB” เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำตลอด 24 ชั่วโมง เพราะแม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”