ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยในห้วงตั้งแต่วันที่ 10-27 กันยายน 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดให้มีการระดมการกระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า
พฤติการณ์ก่อเหตุพอสังเขป กล่าวคือ เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคม 2566 ผู้เสียหายได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ว่าถูกคนร้ายอ้างตัวใช้ชื่อบัญชีแอปพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “ ศิริพร คำสน ” ได้มีการประกาศและหลอกให้ผู้เสียหายสั่งซื้อน้ำมันพืชในไลน์กลุ่มของหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านคู้บอน ผู้เสียหายได้สนใจจึงได้สั่งซื้อไปในบริมาณที่มากพอสมควร ก่อนจะโอนเงินชำระค่าสินค้า จากบัญชีธนาคารของตน เข้าบัญชีธนาคารชื่อบัญชี นายเจษฎา (ผู้ถูกจับ)
หลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าน้ำมันพื้นเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่ได้รับการติดต่อหรือส่งมอบสินค้าตามที่สั่งจากผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวแต่อย่างใด จนทราบข่าวจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านซึ่งแจ้งเตือนเข้ามาในไลน์กลุ่มของหมู่บ้านว่าผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวนั้นเป็นคนร้ายได้แอบอ้างนำข้อมูลบ้านเลขที่ของเพื่อนบ้านนั้นไปใช้หลอกขายสินค้า ตนจึงทราบว่าตัวเองถูกหลอก ซึ่งตนเชื่อว่านาจะมีเพื่อนบ้านและประชาชนอีกหลายรายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของคนร้ายรายนี้
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เมื่อได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาถึงความเดือนร้อนของประชาชน จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. เร่งรัดให้ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. กำชับให้ พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. เร่งรัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. รีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับรายดังกล่าวซึ่งอาจเป็นผู้ร่วมขบวนการหลอกลวง หรืออาจเป็นบัญชีม้าเพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้จับกุมตัว นายเจษฎา อายุ 24 ปี ตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.966/2567 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง และโดยทุจริต หรือโดนหลวงลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าบ้านหมู่ 3 หมู่บ้านพรจิราเงิน ถ.ลำลูกกาคลอง 3 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ในชั้นจับกุม นายเจษฎา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การตนเรียนจบ กศน. ปัจจุบันยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง เกี่ยวกับคดีที่ถูกจับกุม น่าจะเกิดจากเมื่อช่วงประมาณปลายปี 2565 ขณะที่ตนทำอาชีพขายกัญชาอยู่ละแวกบ้าน ได้มีลูกค้าซึ่งเป็นรุ่นพี่ ชื่อนายพรประสิทธิ์ (ไม่ทราบนามสกุล) ได้มาซื้อกัญชาจากตน โดยได้มีการขอเลขบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของตนไปเพื่อจะโอนเงินจ่ายค่ากัญชาที่ซึ่งกับร้านของตนให้ ต่อมาหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของตนอีก ประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 3,500-5,000 บาท
โดยหลังจากที่มีเงินเข้ามาในบัญชีแล้ว ตัวนายพรประสิทธิ์ จะโทรศัพท์มาบอกให้ตนออกไปถอนเงินที่เข้ามาในบัญชีและนำเงินสดไปให้นายต๋า โดยนายต๋าให้ตนหักค่าดำเนินการไปครั้งละ 800-1,000 บาท ต่อมา ตนทราบว่านายพรประสิทธิ์ หรือต๋า ถูกจับกุมตัวไปเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2566 หลังจากนั้น ก็มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้านตน แต่ตนไม่กล้าไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตนมีคดีความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน ซึ่งอยู่ระหว่างอุทธรณ์คดีอยู่เกรงจะกระทบ จึงได้หลบซ่อนตัวภายในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน จนมาถูกจับกุมตัวตามหมายจับในที่สุด
จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมในฐานขอมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่านายเจษฎา หรือเพ็ชร มีประวัติถูกดำเนินคดี จำนวน 2 คดี ประกอบด้วย
1) ปี 2566 ถูกจับกุมในความผิดฐาน “ มี อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน โดยมิได้อนุญาต (ครอบครองปืนไม่มีทะเบียน) , พกอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยมิได้รับอนุญาต ” ท้องที่ สภ.ธัญบุรี
2) ปี 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง และโดยทุจริต หรือโดนหลวงลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ” ตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.966/2567 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย อีกทั้งแจ้งเตือนให้ระมัดระวังการถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า อย่าให้บัญชีธนาคารหรือเปิดบัญชีให้บุคคลอื่นนำไปใช้เด็ดขาดเนื่องจากอาจเป็นช่องทางให้คนร้ายนำบัญชีไปใช้ในการก่ออาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมอย่างมหาศาล ตลอดจนโทษกรณีการเปิดบัญชีม้า
ณ ปัจจุบัน มีอัตราโทษหนัก คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (บัญชีม้า) นอกจากนี้ ผู้เป็นธุระจัดหา จ้างผู้อื่นมาเปิดบัญชีม้าก็มีโทษหนักเช่นเดียวกัน คือ จำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (คนจัดหาบัญชีม้า) หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ