ทางด้าน พระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. วัดท่าขนุน เคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊ก watthakhanun ระบุว่า คนที่อันตรายคือ คนตื่นธรรม เหตุปราศจากสาราณียธรรม ด่าสาดเสียเทเสีย ย้ำ หากตั้งใจสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาคอนเทนต์
ในเรื่องปัจจุบันนี้เกี่ยวกับ "หมอดู" และ "คนตื่นธรรม" จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของการเอากิเลสไปชนกัน..! ในส่วนของหมอดู กระผม/อาตมภาพตำหนิเขาน้อย ตำหนิเขาน้อยตรงที่ว่าเขาแค่ปากไว แล้วก็ไปพูดกระทบกระเทือนในลักษณะปรามาสพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้จริงทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ไปสวนกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ เลยเจอ "ทัวร์ลง" เยอะหน่อย..!
ในเรื่องของหมอดูนั้น ถ้าหากว่ามีจรรยาบรรณและมีความคล่องตัวจริง ๆ สามารถอาศัยได้ในระดับหนึ่ง ที่กระผม/อาตมภาพบอกไปวันก่อนก็คือได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ใช่ไปฝากชีวิตไว้กับหมอดู อย่าลืมว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์ที่นอกเหตุเหนือผล นั่นก็คือคนที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม ดิ้นรนฝ่าฟันจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้
นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเชื่อว่าพวกเรามีศักยภาพเพียงพอ พระองค์ท่านถึงได้เสียเวลามาสอนพวกเราอยู่ถึง ๔๕ ปี ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าเชื่อหมอดูอย่างเดียว ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว เขาบอกว่าไม่ดีก็ไม่ดีไปตลอดชีวิต เขาบอกว่าดีแล้วจะดีไปตลอดชีวิตได้อย่างไร ? เพราะว่าเราเองก็ทำดีไม่ทั่ว ทำชั่วไม่หมด ก็ต้องมีขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง
แต่ว่าในส่วนของบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ตื่นธรรมหรือผู้รู้ธรรมนั้น การสอนธรรมของท่านปราศจากสาราณียธรรม ตรงนี้อันตราย
ท่านที่เรียนนักธรรมชั้นตรีมาก็รู้อยู่แล้ว สาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังให้ทุกคนระลึกถึงกัน เมื่อจะคิดก็คิดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะพูดก็พูดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะกระทำก็กระทำต่อผู้อื่นด้วยเมตตา ไม่ใช่อยู่ในลักษณะของด่าสาดเสียเทเสีย ไป "บูลลี่" หรือว่า "ด้อยค่า" ความรู้ของคนอื่น
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปนึกถึงปิรามิดพระพุทธศาสนาที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไปแล้ว ส่วนของพิธีกรรมพิธีการก็คือฐานใหญ่ที่สุด นี่คือพุทธศาสนิกชน ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์เลยนะ..! ขึ้นมาถึงระดับกลาง ก็คือ ศีล สมาธิเบื้องต้น พวกที่จะใช้ปัญญาได้จริง ๆ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน ไปอยู่ที่ยอดปิรามิดนิดเดียว
ถ้าหากว่าเราไป "ด้อยค่า" คนอื่น หรือไป "บูลลี่" คนอื่น ถือว่าคนอื่นตื่นไม่เท่ากูก็แปลว่าชั่วหมด..! อย่างนั้นใช้ไม่ได้ เราจะไปอ้างว่าเรื่องของธรรมะไม่ต้องเอาใจใคร..ก็ถูก แต่ลักษณะของการสอนธรรม เราสอนด้วยกิเลส หรือว่าเราสอนเพราะเจตนาให้ผู้อื่นรู้ตาม ?ถ้าท่านทั้งหลายลองไปฟังดูแล้วก็จะรู้
ถ้าหากว่าท่านตั้งใจสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาคอนเท็นต์หรือว่าแนวทางที่โลดโผน เพื่อที่จะเป็นติ๊กต็อกเกอร์ หรือเป็นยูทูบเบอร์ เพราะลักษณะอย่างนั้นก็คือการดึงคนเข้ามา ดึงคนเข้ามาเพื่ออะไร ? ก็ต้องหวังยอดวิว หวังยอดไลค์..!
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราอย่าไปกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้วว่า วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่าคนเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน เหมือนอย่างกับวิทยานิพนธ์วิเคราะห์ภพภูมิที่ ดร.ซ้วงท่านทำมา ในเมื่อสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน บุคคลที่สร้างบุญมาดีก็ได้ครูบาอาจารย์ดี สิ่งใดผิดพลาดก็แก้ไขให้
บอกกล่าวแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน แล้วเราดันไปสร้างด้านที่ไม่ดี ถ้าไม่โดนพวกบรรดา "คอลเซ็นเตอร์" หลอกจนหมดเนื้อหมดตัว ก็โดนหมอดูหลอกให้ไปสะเดาะเคราะห์บ้าง ไปเปลี่ยนชื่อบ้าง สารพัด แล้วแต่ละวิธีก็ล้วนแล้วแต่เสียเงินทั้งนั้น..!
ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่ต้องเสียสตางค์ และเป็นการแก้ดวงที่ดีที่สุด แต่พวกเรากลับขี้เกียจ มักง่าย อะไรยากไม่ทำ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นแทนที่จะรีบแก้ไขด้วยการพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้น เรากลับไปเปลี่ยนชื่อ ฟังดูแล้วว่ามันใช่หรือไม่ ? เปลี่ยนชื่อให้ตาย ถ้าความประพฤติไม่เปลี่ยน แล้วสิ่งดี ๆ จะเข้ามาได้อย่างไร ?
จึงเป็นเรื่องพวกเราทั้งหลาย
โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรต้องตระหนักให้มากไว้ว่า เรื่องของพระพุทธศาสนา ต่อให้ปฏิบัติไปไม่ถึงพระอริยเจ้า ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกเอาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คืออย่านอกคอก เพราะว่าถ้าความนอกคอกของเรา แล้วมีคนเดินตาม..พังแน่ ๆ..! คือถ้านอกคอกเมื่อไร โอกาสที่จะไปได้ดีนั้นก็ยากแล้ว เพราะว่าไม่ว่าโลกไหน ๆ ก็ไม่มีใครที่จะมีความสามารถเสมอกับพระพุทธเจ้า
พระองค์ท่านวางแนวทางเอาไว้แล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สรุปลงมาเหลือหนทาง ๘ ประการ ย่อลงมาก็คือแนวปฏิบัติ ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครคิดว่าจะหาทางใหม่ที่จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ เราก็ปล่อยท่านไปเถอะ เอาที่ท่านสบายใจก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนตายก็รู้เองว่าจะไปพบกันข้างบนหรือข้างล่าง..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน