ยังคงติดตามกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับคดีดิไอคอนกรุ๊ป โดยเมื่อ 21 ต.ค.64 ที่ผ่านมา นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พาพยานปากสำคัญเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ปมเส้นเงินดิไอคอน ล่าสุดเจอแล้ว ใครอยู่เบื้องหลัง "บอสพอล" ดิไอคอนกรุ๊ป
โดยนายเอกภพ กล่าวว่า ได้มีการพาพยานมาให้ข้อมูลกับตำรวจบก.ปปป. กรณีที่ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์ปมดิไอคอน ซึ่งพยานรายนี้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเป็นบุคคลที่ใกล้ชิด นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล และไม่ได้เป็นที่รู้จักในสื่อสังคม ซึ่งจะให้ข้อมูลเป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มากน้อยแค่ไหน ตนเชื่อว่าตำรวจมีกระบวนการในการแยกแยะและแสวงหาพยานหลักฐาน แน่นอน ส่วนข้อมูลของพยานจะมีข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับตัวพยาน แต่ตนมองว่าการที่กล้าเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจนั้นเชื่อว่า มีหลักฐานและมั่นใจในข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่ และพยานยังเชื่อในตัวของพล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. เเละ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.)
ภายหลังจากที่ตนเองได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสกุลเงิน Digital จาก USDT เป็น Ethereum นั้นพบว่าหลังจากมาให้ข้อมูลในวันต่อมาก็ได้มีการ หยุดการเปลี่ยนถ่ายสกุลดังกล่าว และเปลี่ยนไปซื้ออื่นสกุลเงินอื่นแทนและเรื่องสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ออกมาชี้แจงว่าตรวจสอบเส้นทางการเงินดังกล่าวแล้วไม่ความผิดปกตินั้น ซึ่งจากการพูดคุยทราบว่าอาจจะเป็นการถ่ายเทที่ไปยังช่องทางอื่น
นอกจากนี้ยังมีเบาะแสว่าในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีแม่ทีมของหนึ่งใน 18 บอสดิไอคอนได้มีการแยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ซึ่งหากประชนพบเห็นการกระทำในลักษณะดังกล่าวสามารถส่งข้อมูลหรือคลิปมาที่ เพจสายไหมต้อง ซึ่งตนจะนำไปส่งเจ้าหน้าที่โดยจะปิดบังข้อมูลผู้เเจ้งให้
และได้มีประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เมื่อในเฟซบุ๊คของ เอกภพ สายไหม ได้โพสต์เผยว่า เจอแล้ว ชายผู้อยู่เบื้องหลัง "บอสพอล"ดิไอคอนกรุ๊ป
"555555 โชคโคตรเข้าข้าง ในที่สุดผมก็หาคุณจนเจอ #ชายผู้อยู่เบื้องหลังบอสพอล สนุกหละ"
ทั้งนี้ ยังคงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ จะออกมาอัปเดตคดีดิไอคอนไปในทิศทางใด อาทิ เรื่องเส้นทางเงิน-พยานปากสำคัญ รวมทั้งจะเปิดเผยชื่อ คำใบ้ หรือพฤติกรรม ชายผู้อยู่เบื้องหลัง "บอสพอล" ต่อไปหรือไม่ หากมีความคืบหน้าอย่างไรจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง