หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.จับกุมจับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีลวงเงิน น.ส.จตุพร อุเบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน ส่วนนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้ม ถูกจับใน ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน โดยจับกุมได้ที่ จ.ฉะเชิงเทรา หลังเดินออกจากบ้านด้วยรถยนต์ ปอร์เช่ สีน้ำตาล ทางไปที่ จ.สระแก้ว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.ป. คุมตัวทนายตั้ม พร้อมภรรยา มาที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อสอบปากคำ โดยนำตัวแยกสอบสวน หลังการสอบปากคำผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีรายงานว่า ทนายตั้มและภรรยาให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา
ทั้นี้ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมี.ค. 66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เคยออกมาเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการทำงานของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ซึ่งมีใบเอกสารแจ้งเกี่ยวกับค่าดำเนินการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จำนวน 300,000 บาท ซึ่งสร้างความสะเทือนทั้งวงการสื่อมวลชน และวงการทนายความเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีการแฉอย่างต่อเนื่องจากคนที่เคยทักไปปรึกษาทางเพจของนายษิทราถึงค่าบริการในแต่ละครั้งหากต้องการปรึกษาคดีหรือจ้างว่าความ แบ่งเป็น
โดยในตอนนั้นทนายตั้มได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงแก้ต่างว่า สำหรับ เงินที่เรียกจากลูกความไป 300,000 บาทนั้น ไม่ถือว่ามาก เพราะต้องต่อสู้กับอะไรหลายอย่าง และไม่มีการเรียกร้องเพิ่มเติม ผมไม่ไปเรียกร้องอะไรเพิ่ม
การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งคือ ค่าเตรียมใช้ในการถูกฟ้องกลับเก็บเฉพาะคดีใหญ่ และมีกำลังจ่าย จำนวน 3 แสนบาท
ขอยืนยันว่า รายได้ทั้งหมดนั้นเกิดจากการทำงานของตนเอง ไม่ได้ไปมุบมิบหรือรับเงินจากใคร และชีวิตที่เปลี่ยนไป ก็เพราะมีรายได้จากการทำงาน จึงพาครอบครัวไปพักผ่อนต่างประเทศ และก็มีลูกความที่เคยซื้อของมาฝาก เช่น เสื้อแบรนด์เนมต่างๆ แล้วตลอดชีวิตที่ทำงานเป็นทนายความมา ไม่เคยเรียกรับเงินรับจ้างวานงาน