ปลายทางหมูเถื่อนจากจีน 1.5 หมื่นโลฯ ลอบขนเข้าไทย
สกัดจับขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนจากจีน ล็อตใหญ่กว่า 15,000 กก. ลักลอบส่งเข้าไทยไปตามร้านอาหารต่างๆ จับได้ก่อนกระจายสู่ผู้บริโภค
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สกัดจับขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากจีน ล็อตใหญ่กว่า 15,000 กก. โดยได้ร่วมกันจับกุม นายอดิศักดิ์ฯ อายุ 27 ปี นายอชิตพลฯ อายุ 35 ปี และ นายคณนภัสฯ อายุ 56 ปี สารภาพได้รับการว่าจ้างให้ขนเนื้อหมูเถื่อนจากจีนเข้ามาไทย ปลายทางกรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ผ่านมามีรายงานตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ฉัตรชัย เหมวิลัย สว.ส.ทล.1 กก.4 บก.ทล. ร.ต.อ.รัฐนันทร สมชื่อ ,ร.ต.อ.สุเมธี จำปาหอม รอง สว.ส.ทล.1 กก.4 บก.ทล., ร.ต.ท.หาญ ใจหาญ, ร.ต.ท.ประสงค์ นิตยวัน, ร.ต.ต.เสรีย์ นาสิงห์คาร รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.4 บก.ทล. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ส.ทล.1 กก.4 บก.ทล. สกัดจับขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากประเทศจีนผ่านทาง สปป.ลาว เพื่อส่งมาขายให้ร้านอาหารในกรุงเทพฯ
1.นายอดิศักดิ์ฯ อายุ 27 ปี ที่
2.นายอชิตพลฯ อายุ 35 ปี
3.นายคณนภัสฯ อายุ 56 ปี
ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน
1.ทำการเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์เข้ามาในเขตเฝ้าระวังโรคระบาด โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 22 และเคลื่อนย้ายซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสัตว์แพทย์ต้นทาง ตามมาตรา 34 พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์
พ.ศ.2558
2.ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่ตนรู้ว่าเป็นของซึ่งนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บน ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร พ.ร.บ.ศุลกากร ตามมาตรา 246
3.นำซากสัตว์ (ไส้หมูอ่อนแช่แข็ง) เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ได้อนุญาต ตามมาตรา 31 พ.ร.บ.โรคระบาด
สถานที่จับกุม ถนนหน้าบ้านเช่า หมู่ที่ 4 บ้านข่อยเมืองแก้ว ต.หนองหิน อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ได้ดำเนินการสืบสวนจับกุมขบวนการ ลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อนเข้ามาในประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับเบาะเเสว่าจะมีการลำเลียงขนเนื้อสุกรล็อตใหญ่จากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในประเทศทางพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่งเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ พบกลุ่มคนต้องสงสัยบริเวณริมแม่น้ำโขง โดยมีพฤติการณ์แบ่งขนใส่รถกระบะลักษณะเป็นกองทัพมดหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจึงเฝ้าระวังรถยนต์และกลุ่มคนผู้ต้องสงสัยดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พบรถยนต์ต้องสงสัย จำนวน 3 คัน ตามที่ได้เบาะแสบริเวณถนนหมายเลข ทล.202 ขับมาจาก จ.ยโสธร มุ่งหน้า จ.ร้อยเอ็ด จึงได้ทำการวางทำการติดตามรถเป้าหมายทั้งสามคัน และวางกำลังทำการสกัดจับ รถทั้งสามคันมุ่งหน้าไปทาง อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด จากนั้นรถพบคันแรกได้เลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง หมู่ 4 ต.หนองหิน อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด และอีก 2 คัน สามารถสกัดได้บริเวณหน้าบ้านดังกล่าว
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นรถบรรทุกเนื้อสัตว์ตามที่ได้รับแจ้งจริงจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์มหาสารคามเข้าร่วมตรวจสอบ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นในรถทั้งสามคันพบว่าเป็นเนื้อพวงนมสุกรและเครื่องในไส้อ่อนสุกร รวมทั้งยังพบเครื่องในไส้อ่อนสุกร ในห้องเย็นบริเวณบ้าน หมู่ 4 ต.หนองหิน อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด จากการตรวจสอบพบแหล่งผลิตแหล่งที่มา มาจากประเทศจีนเนื่องจากกล่องบรรจุภัณฑ์มีสลากภาษาจีน
สันนิฐานเบื้องต้นคาดว่าลักลอบนำเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติจากประเทศลาว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ตรวจสอบน้ำหนักเนื้อพวงนมสุกร และไส้อ่อนสุกร ที่ตรวจพบทั้งหมดประมาณ 15,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 2,000,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการตรวจยึดบันทึกการจับกุมพร้อมนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสรวง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้เก็บรวบรวมข้อมมูลในการจับกุมครั้งเพื่อสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อเถื่อนต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การว่าตนรับจ้างบรรทุกสินค้า ซึ่งเจ้าของสินค้าให้ตนรับสินค้าบริเวณข้างทางริมแม่น้ำโขง โดยการมารับสินค้าในครั้งนี้ตนขับมาแล้วมาจอดรับสินค้าบริเวณจุดนัดพบ บริเวณบ้านบางทรายใหญ่ หมู่1 ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เวลารับสินค้ามีคนงานขนขึ้นรถให้ และขับตามกันมาส่งสินค้าที่ หมู่ 4 ต.หนองหิน อ.เมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด จนถูกเจ้าหน้าที่จับกุม
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย ยืนยันลุยเดินหน้าเดินหน้าดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด กับผู้ลักลอบกระทำผิด ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกร เนื้อสัตว์จากต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากโรคต่างถิ่นที่อาจกระทบต่อการเลี้ยงสัตว์ของไทย ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อประชาชนในประเทศ รวมทั้งหวั่นเกรงต่อสารเร่งเนื้อแดงที่อาจปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว์ต่างแดนที่ลักลอบนำเข้ามาที่จะส่งผลอย่างยิ่งต่อสุขภาพคนไทย และยังทำให้ราคาเนื้อสุกรของพี่น้องเกษตรไทยตกต่ำอีกด้วย