อุทาหรณ์ชั้นดี "ให้คนอื่นใช้ชื่อตัวเองออกรถ" สุดท้ายเกือบโดนประหาร
ทนายเกิดผล แก้วเกิด โพสต์เตือนอุทาหรณ์เคสคดีจริง ให้คนอื่นใช้ชื่อตัวเองออกรถ ระวัง มีคนเกือบโดนประหาร ต้องดูให้ดี
ทนายเกิดผล ได้ออกมาโพสต์เตือนอุทาหรณ์ เรื่องจริง ไม่จำเป็น อย่าโอนลอย หรือ ใช้ชื่อเช่าซื้อแทนคนอื่น สุดท้ายเกือบโดนประหาร โดยได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ทนายเกิดผล แก้วเกิด ระข้อความดังนี้บุ
เรื่องจริง
ไม่จำเป็น..อย่าโอนลอย หรือ ใช้ชื่อเช่าซื้อแทนคนอื่น
โชคร้าย อาจถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตได้
ที่พูดมาไม่ใช่เรื่องพูดเล่นนะครับ แต่ไม่ได้ถูกประหารเพราะโอนลอยรถยนต์ตรงๆหรอกครับ
แต่มันเกิดจากการที่มีผู้รับซื้อรถยนต์ นำไปขนยาเสพติด
ซึ่งผมเคยนำเล่าให้ฟังถึง 2 คดีแล้ว ถ้าจำได้
- คดีแรก
เกิดขึ้นมา ประมาณ 5 ปี เจ้าของรถขายโอนลอยพร้อมเอกสารสำคัญให้คนซื้อ
คนซื้อเป็นพ่อค้ายาเสพติด นำรถไปขนยาเสพติด และแหกด่านหนี
แต่ไปไม่รอด ก็จอดรถทิ้งไว้
ภายในรถ มีสมุดคู่มือ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ของเจ้าของรถคนเดิม
ตำรวจก็ตามไปจับเจ้าของรถคนเดิม ตามที่ปรากฎในเอกสาร
เจ้าของรถให้การต่อสู้ว่า ตนโอนลอยรถยนต์ไป และต่อสู้ว่าขณะเกิดเหตุ ตนขายของอยู่หน้า 7 -11 ที่แม่สอด โดยนำคลิปจากกล้องวงจรปิดมาสืบ
ศาลชั้นต้นประหารชีวิต
ศาลอุธรณ์ ยกฟ้อง
- คดีที่ 2 เกิดขึ้นเร็วๆนี้ที่ศาลจังหวัดแพร่
ลูกความผมเป็นหนุ่มชาวดอย อยู่จังหวัดน่าน และตกเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้
เขายินยอมใช้ชื่อเเขา เช่าซื้อรถบิ๊กไบค์ให้ญาติ
ต่อมามีคนร้ายนำรถบิ๊คไบค์ไปตระเวนลาดเลาดูเส้นทางขนยาเสพติด จำนวน 660,000 เม็ด
ตำรวจที่แพร่จับกุมได้ และขยายผลไปถึงเจ้าของรถ จากทะเบียนรถ
เจ้าตัวต่อสู้ว่า ไม่ใช่ผู้ชับขี่ และไม่รู้เรื่อง เป็นแต่เพียงใช้ชื่อเช่าซื้อให้ญาติ และวันเกิดเหตุ #ตนแต่งงานอยู่ที่จังหวัดน่าน และนำรูปถ่าย ผู้ใหญ่บ้าน มาเป็นพยาน ในศาลด้วย
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
อัยการอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ประหารชีวิต
ซึ่งศาลอุทธรณ์ มองว่า ในวันที่ตำรวจติดตามจับกุมกลุ่มคนร้าย ตามเส้นทางขนยาเสพติด และหลบหนี
มีชาย 2 คน คนแรก คือจำเลยที่ 1 ขับรถบิ๊กไบค์ เข้ามาพักในโรงแรม โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้บัตรประชาชน ของตนเองเช็คอินในการเช่า ห้องพัก
ส่วนชายคนที่ 2 ยืนอยู่ห่างๆ ลักษณะเป็นชายสวมเสื้อสีดำ ทรงผมสั้น รูปร่างคล้ายจำเลยที่ 2 ในคดีนี้
( แต่ผมดูยังไงก็ไม่เหมือนครับ ยิ่งดูยิ่งไม่เหมือน )
เมื่อ ตำรวจชุดสืบสวนของจังหวัดแพร่ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทราบชื่อของจำเลยที่ 1 ส่วนชายปริศนา ขณะนั้นจึงไม่ทราบชื่อ จึงได้ นำ ทะเบียนรถจักรยานยนต์ ไปตรวจสอบ
ปรากฏว่าเป็นชื่อของจำเลยที่ 2
พนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลแพ่งออกหมายจับจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่กับลูกเมียที่จังหวัดน่าน
ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ได้ ร่วมขบวนการ ขนยาเสพติด
ส่วนจำนวนที่ 2 ต่อสู้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับกระบวนการขนยาเสพติด ภายในวันเกิดเหตุ จำเลย จัดงานสมรสอยู่ที่ จังหวัดน่าน โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นสักขีพยาน และภาพถ่ายประกอบ
พนักงานอัยการ นำพยาน ปากสำคัญ ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับ ของโรงแรมที่เป็นคนลงทะเบียนให้กับจำเลยที่ 1 มาเบิกความต่อศาลว่า
เห็นจำเลยที่ 2 มากับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้มาเช็คอินในโรงแรม
ในตอนถามค้าน ทนายจำเลยที่ 2 ถามว่า
ขณะนั้น พยานกำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับ ลูกค้าที่โรงแรมใช่หรือไม่
พยานตอบว่าใช่
ทนายถามต่อว่า ตัวพยานเองไม่เคยเห็นจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่รู้จักกันมาก่อน ใช่หรือไม่
เรียนตอบว่าใช่
ทนายถามต่อว่า เมื่อพยาน ไม่เคยเห็นหน้า และไม่ได้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่ได้สังเกตว่า จำเลย ที่ 2 หน้าตาเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่
พยานตอบ ใช่
ทนายถามต่อไปว่า เหตุที่พยาน ชี้รูปภาพของจำเลยที่ 2 เพราะตำรวจ นำรูปตามทะเบียนราษฎร์ ที่มีชื่อจำเลยที่ 2 ให้พยานดูก่อน ใช่หรือไม่
พยาน ตอบใช่
ทนายถามต่อว่า หากไม่มีรูปภาพ และชื่อจำเลยที่ 2 ให้พยายามเห็นก่อน รูปนี้ที่พยานชี้ กับ รูปภาพในวีดีโอวงจรปิด พยายามจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปของใครใช่หรือไม่
พยาน ตอบใช่
ตอบมา ศาลชั้นต้นพิพากษา จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และยกฟ้องจำเลยที่ 2
พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ 2 เป็นชายที่อยู่ในโรงแรมร่วมกับจำเลยที่ 1 เนื่องจาก ภาพถ่าย รูปบัตรประจำตัวประชาชน ที่ ตำรวจทำให้พนักงานโรงแรมชี้นั้น ตรงกับ รูปภาพของชายที่อยู่ในคลิปวีดีโอกล้องวงจรปิดของ โรงแรม
ซึ่งประเด็นนี้ผม ดูอย่างเป็นกลางนะครับ ภาพนั้น ไม่เหมือนเลยดูยังไงก็ไม่เหมือนยิ่งเฉพาะทรงผม แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ ศาลอุทธรณ์ มองว่า ทรงผมคล้ายกัน เพราะ ภาพที่ตำรวจนำมาให้พยานดูเป็นภาพถ่ายจากบัตรประชาชนซึ่งเป็นภาพเก่าทรงผมจำเลยที่ 2 อาจเปลี่ยนไปได้
และศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 2
จำเลยถูกย้ายมาบางขวาง
ผมเป็นทนาย ที่ 2 จึงได้ยื่นฎีกา โดยขออนุญาตฎีกา ซึ่งศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาได้
จำเลยที่ 1 ก็ยื่นฎีกา กรณีของจำเลยที่ 1 มีประเด็น 2 ประเด็น คือ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด และ 2 ฟ้องผู้โจทก์ไม่สมบูรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง
คดีนี้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ พิพากษาว่า
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้องตามกฎหมาย
ศาลฎีกาจึงสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขภายในระยะเวลา เมื่อตรวจแก้ไขภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงถือว่าคำฟ้องนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนฎีกา ของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับจำเลยที่ 2 เนื่องจากพยานที่มาเบิกความ ได้ถูกชักจูงหรือชักนำจากตำรวจที่นำรูปของจำเลยที่ 2 มาให้พยานดูก่อนที่จะ ออกหมายจับ และพยานกับเบิกความโดยสารต่อทนายจำเลยที่ 2 ถามค้าน ยอมรับว่าไม่รู้จักและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ เหตุที่ชี้รูปภาพคุณจำเบอร์ที่ 2 เพราะตำรวจนำรูปมาให้ดูก่อนจึงเข้าใจว่าเป็นภายในคลิปวีดีโอ
พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2566 (ประชุมใหญ่)
ปล.
หลังจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง จำเลย ที่ 2 ก็กลายเป็นคน ซึมเศร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษา อาการซึมเศร้า ซึ่ง เกิดจากการถูกจับ คุมขัง และ เมียทิ้งไปในระหว่างติดคุกอยู่
ผมเคยถามว่าจะฟ้องคดีตำรวจที่ยัดข้อหาไหม
ตอนแรกเขาบอกว่าเขาอยากจะฟ้อง ตอนหลังไม่รู้เครียดหรือกังวลใจเกินไป ไม่ค่อยพูดจา ผมก็เลยไม่ได้ถามต่อ ว่าจะเอายังไง