แฟน "ผู้กำกับโจ้" ลั่น เรือนจำไม่สามารถเชื่อถือได้ หลายประเด็นถูกบิดเบือน

วันที่ 9 มี.ค. 2568 เวลา 14.00 น. รถมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำร่าง "ผู้กำกับโจ้" มาถึงที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว โดยมีแม่ , แฟนสาว และญาตินั่งรถมาด้วย ซึ่งเมื่อมาถึงผู้เป็นแม่ได้จุดธูป 1 ดอก ก่อนที่กู้ภัยจะนำร่างของ "ผู้กำกับโจ้" ลงมาจากรถ เพื่อไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น รอทำการผ่าชันสูตรในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ 

โดยช่วงระหว่างที่เคลื่อนร่าง "ผู้กำกับโจ้" ตัวแทนญาติ ได้จับร่างของ "ผู้กำกับโจ้" แล้วพูดว่า "โจ้อยู่ที่นี่ 1 คืนก่อนนะ" ยิ่งทำให้แฟนสาวของ "ผู้กำกับโจ้" ร้องไห้ออกมา ท่ามกลางความโศกเศร้า

 

ด้าน นางสาวทราย อายุ 28 ปี แฟนสาว และนางสาวจันทา อุทธนผล แม่ของ "ผู้กำกับโจ้" ได้เปิดเผยว่าวันนี้ที่นำร่างของผู้กำกับโจ้มาที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะต้องการให้มีการชันสูตรอีกครั้งนึง และต้องการทำทุกอย่างให้ผู้กำกับโจ้ให้ได้มากที่สุด  เมื่อถามว่าเป็นเพราะไม่เชื่อผลการชันสูตรที่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมหรือไม่ ด้านแฟนสาวระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างสามารถบิดเบือนได้ "พี่โจอยู่ในนั้นถูกทำร้ายร่างกาย เราแค่จะแจ้งความเราก็ทำไม่ได้ พี่โจ้เสียชีวิตแล้ว เขาบอกว่าพาไปโรงพยาบาลก็ไม่พาไปแล้วหนูจะเชื่อได้อย่างไร ว่าอะไรทุกอย่างนี้เป็นความจริง หนูไม่ได้เห็นกับตาไม่ได้ยินกับหู" ทำให้ตอนนี้ทางครอบครัวไม่เชื่ออะไรง่ายๆอีกแล้ว / พร้อมบอกว่าที่ผ่านมารู้มาตลอดว่าผู้กำกับโจ้มีความทุกข์ตลอด ทั้งถูกกลั่นแกล้งรังแกทำร้ายร่างกายมาตลอด ตนก็เชื่อมาตลอดว่าผู้กำกับโจ้ก็ยังสู้

ทั้งนี้ หลังจากที่ได้ดูข่าวการให้สัมภาษณ์ของทางเรือนจำเมื่อวานนี้ และบอกว่าผู้กำกับโจ้มีความต้องการที่จะถูกขังเดี่ยว ทางแฟนสาว และแม่ของผู้กำกับโจ้ มองว่าไม่เป็นความจริง ใครกันที่จะอยากถูกขังเดี่ยว พร้อมบอกว่าที่ผ่านมาทางครอบครัวมีการพยายามต่อสู้มีการไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ ก็เพื่อนำผู้กำกับโจ้ออกมาจากการถูกขังเดี่ยว พร้อมบอกว่าการที่ผู้กำกับโจ้ถูกขังเดี่ยวนั้นเป็นการถูกขังเดี่ยวที่ไม่มีความผิด เป็นการถูกกล่าวหา ว่าเขาถูกกล่าวหาว่ากระด้างกระเดื่อง เลยมองว่าการที่เรือนจำออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนั้นกับเหตุการณ์หลายๆที่ครอบครัวเห็น มันต่างกัน

รวมถึงเรื่องที่ทางเรือนจำออกมาบอกว่าพยายามช่วยเหลือผู้กำกับโจ้โดยการนำตัวส่งโรงพยาบาล ตนและครอบครัวได้ดูภาพกล้องวงจรปิดก็เห็นว่าไม่ได้มีการช่วยเหลือผู้กำกับโจ้แต่อย่างใด ทำให้ตนรู้สึกถึงความไม่ปกติ และมองว่าทางเรือนจำไม่น่าเชื่อถืออะไรได้ แฟนสาวยังมองว่า "คนเราจะสามารถบิดเบือนความจริงได้ถึงขนาดนี้ จะต้องเป็นคนที่คิดมาเยอะมากๆ และต้องมีความตั้งใจ และไม่ใช่ใจที่ดี และหลังจากนี้คงไม่สามารถที่จะเชื่ออะไรได้อีก"

 

ส่วนเรื่องที่มีการไปยื่นให้ตรวจสอบกรณีที่ผู้กำกับโจ้ถูกผู้คุมทำร้ายร่างกายภายในเรือนจำนั้น ได้มีการยื่นให้ตรวจสอบไปหลายที่ แม่ของผู้กำกับโจ้ยังคงยืนยันว่าได้นำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนกับ ผบ.คนเก่าถึง 2 รอบ คนใหม่ก็ยืมไป 2 รอบก็เงียบเหมือนเดิม อีกทั้งยังมีผู้ใหญ่ภายในเรือนจำติดต่อมาหาครอบครัวให้ถอนแจ้งความแลกกับการปล่อยให้ผู้กำกับโจ้ออกมาจากห้องขังเดี่ยว แต่ทางครอบครัวไม่อยากถอนแจ้งความ ทางนั้นก็บอกกับครอบครัวว่า "จะเอาหลักฐานอะไรไปสู้กับเขา เขาก็ต้องปกป้องคนในบ้านเขา"

ส่วนกรณีที่ทางราชทัณฑ์นำกล้องวงจรปิดวินาทีที่ ผู้กำกับโจ้เดินเข้าห้องคุมขังเดียวด้วยท่าทีที่ปกติและทางราชทัณฑ์ยืนยันว่าไม่มีใครทำร้ายร่างกายผู้กำกับโจ้ เรื่องนี้แม่ของผู้กำกับโจ้ยังคงบอกว่ายังแคลงใจอยู่ อีกทั้งเรื่องผ้าที่ใช้ผูกคอนั้นมองว่าผ้ายาวแค่ 50 เซนติเมตร กว้าง 1 ฟุต จะใช้ผูกคอกับลูกกรงได้อย่างไร

 

ด้าน แฟนสาว ระบุว่าจากการที่ดูคลิปกล้องวงจรปิดก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก  ส่วนก่อนหน้านั้น ได้คุยกับผู้กำกับโจ้ยังบอกกับครอบครัวว่าจะสู้ ให้ช่วยผู้กำกับโจ้ และยังดูมีกำลังใจ ครั้งสุดท้ายที่คุยกันผู้กำกับโจ้ก็ไม่ได้มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าจะทำร้ายร่างกายตนเอง เพราะฉะนั้นมองว่าเรือนจำจะพูดอะไรก็พูดได้

 

ด้านแฟนสาว ยังบอกอีกว่า เคยมีการขอให้ตำรวจเข้าไปสอบปากคำภายในเรือนจำกรณีที่ผู้กำกับโจ้ถูกทำร้ายร่างกาย แต่ทางเรือนจำก็ไม่อนุญาตซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทางเรือนจำ อ้างว่า จะต้องไปสอบถามทางผู้คุมก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ซึ่งก็มองว่าทางตำรวจมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปสอบปากคำผู้กำกับโจ้ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงไม่สามารถเข้าไปสอบปากคำได้

 

เมื่อถามว่าถ้าสุดท้ายผลชันสูตรออกมาว่าผู้กำกับโจ้ทำร้ายร่างกายตนเอง คิดว่าเกิดจากภาวะถูกกดดันหรือไม่  ด้านแฟนสาว ระบุว่าแน่นอนอยู่แล้ว  เพราะทุกอย่างที่พยายามร้องเรียน เป็นเพราะผู้กำกับโจ้ถูกรังแก กดดัน ก็พยายามที่จะทำให้ผู้กำกับโจ้หลุดพ้นมาจากตรงนั้น

เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะฝากถึงผู้กำกับโจ้เป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่  แฟนสาว ระบุว่า  ผู้กำกับโจ้รู้มาตลอดว่าตน และครอบครัว ช่วยเขามาจนถึงที่สุด ตั้งแต่ผู้กำกับโจ้เข้าไปอยู่ภายในเรือนจำ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ถูกทำร้ายร่างกายไม่มีวันไหนที่ครอบครัวไม่เต็มที่ ไม่ว่าสิ่งที่กำลังพยายามทำในวันนี้จะสามารถช่วยผู้กำกับโจ้ได้หรือไม่ หรือทวงความยุติธรรมอะไรได้หรือไม่ ครอบครัวก็ทำเต็มที่ และเชื่อว่าที่เรือนจำพยายามบิดเบือนความจริง เปลี่ยนแปลง ปกปิด หรือช่วยเหลือใคร แต่ตนยังเชื่อในรัฐมนตรี และยังเชื่อในหน่วยงานต่างๆที่วันนี้เข้ามาช่วยเหลือครอบครัว 

 

เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะฝากถึงผู้คุมที่ทำร้ายร่างกายผู้กำกับโจ้หรือไม่ ระบุว่า "พี่โจ้ทำผิดด้วยความประมาท ทำให้คนอื่นถึงแก่ชีวิต พี่โจ้ก็ต้องรับโทษ แต่ท่านทำร้ายร่างกายคน โดยไม่มีเหตุจำเป็น ท่านกดดัน กลั่นแกล้ง ดูถูก เหยียดหยาม ท่านก็ต้องได้รับโทษเหมือนกัน"

 

อย่างไรก็ตามสำหรับในวันพรุ่งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการชันสูตรพลิกศพ "ผู้กำกับโจ้" รอบ 2 แล้ว ทางครอบครัวจะเดินทางมารับศพในช่วงเวลา 15.00 น. ก่อนจะรับศพไปทำพิธีทางศาสนาที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน โดยจะสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 คืน