เปิดสภาพ "เฟอร์รารี่" ซิ่งชนเบนซ์ไฟลุกกลางดึก 34 ล้าน เหลือแต่ซาก

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุระทึกกลางดึก Ferrari สีขาวชน Mercedes-Benz กลางถนนพุทธมณฑลสายด่วน ก่อนเกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง เผาวอดทั้งคัน มูลค่ากว่า 34 ล้านบาทเหลือแค่ซากโครงเหล็ก  เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 24 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ธรรมศาลา รับแจ้งเหตุรถชนกันหลายคันบนถนนพุทธมณฑลสายด่วน (ขาเข้า) แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. จุดเกิดเหตุพบไฟลุกไหม้อย่างหนักจากรถซูเปอร์คาร์ Ferrari สีขาว ซึ่งภายหลังพบว่าชนเข้ากับรถ Mercedes-Benz สีดำ ก่อนเกิดเพลิงไหม้จนเผาวอดทั้งสองคัน


 

 เฟอร์รารี่ คันหรู ถูกไฟไหม้ทั้งคัน ไม่เหลือสภาพเดิม แม้แต่แชสซีและล้อรถก็หลอมละลายจากความร้อนที่สูงจนไม่สามารถกู้ซากได้ เบื้องต้นพบว่าจานเบรกของ Ferrari ยังไปติดอยู่กับซุ้มล้อหลังของรถเบนซ์ซึ่งถูกเฉี่ยวชนอย่างจัง จนเป็นจุดต้นเพลิงที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ยังมีรถกระบะ Toyota อีกคันที่ถูกชนจนพลิกตะแคงกีดขวางเส้นทางจราจร ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดการจราจรช่องทางด่วนชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกในการกู้ภัย

ผู้ขับขี่ Ferrari คือ "น้องเฟียส" อายุ 23 ปี  โดยทั้งคนขับ Ferrari และ Benz ต่างหนีออกมาจากรถได้ทันเวลา โดยผู้ขับ Benz ได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชพิพัฒน์ ส่วนฝั่ง Ferrari มีอาการแน่นหน้าอกเล็กน้อย และไม่ประสงค์เข้ารักษาในโรงพยาบาล

หลังจากเกิดเหตุ นายกมล ศิลาทอง อายุ 55 ปี บิดา "น้องเฟียส"  ผู้ขับขี่ Ferrari ได้พาบุตรชายเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ธรรมศาลา เพื่อให้ปากคำและตรวจสอบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายกมลเปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุ ลูกชายวัย 23 ปี กำลังขับรถกลับบ้านย่านพุทธมณฑลสาย 2 หลังจากไปส่งแฟนสาว โดยเล่าว่า มีรถกระบะขับปาดหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้รถเสียหลักเฉี่ยวชนท้ายรถกระบะ ก่อนหมุนไปชนกับรถ Mercedes-Benz ที่ขับตามมา จนเกิดไฟลุกท่วมตัวรถทั้งสองคัน

แม้เหตุการณ์จะจบลงโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นายกมลกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า

• “ผมเตือนลูกมาตลอดให้ขับรถระวัง อย่าประมาท ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหนักหรือเสียชีวิต ถ้าลูกผมเป็นฝ่ายผิด เราก็ยินดีรับผิดตามกฎหมายทุกอย่าง”

ทั้งนี้เฟอร์รารี่คันดังกล่าว เป็นรถหรูที่จดทะเบียนในนามภรรยาของนายกมล เมื่อปี 2022 โดยมีมูลค่าสูงถึง 34 ล้านบาท ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานจากกล้องวงจรปิด พร้อมนัดคู่กรณีทั้งหมดเข้ามาให้ปากคำ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์