จากกรณีข่าวสะเทือนขวัญพบอดีตเอกอัครราชทูตเดนมาร์กเสียชีวิตในบ้านพัก โดยที่ สน.สุทธิสาร พลตำรวจตรีอรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดี ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุเป็นชายชาวเมียนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ต.ค.66 ที่ผ่านมา
เปิดไทม์ไลน์ลงมือก่อเหตุอดีตเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก
จากการติดตามผู้ก่อเหตุพบว่า ได้เดินทางหลังจากก่อเหตุ ในวันที่ 28 กันยายน 2566 โดยเรียกรถแท็กซี่ไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มโดยใช้วิธีกดผ่าน iPad ของอดีตเอกอัครราชทูตกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ผู้เสียชีวิตก่อนจะไปขึ้นรถโดยสารประจำทางมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาชุดสืบสวนได้ตรวจสอบที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายแล้วพบว่า ได้เดินทางออกนอกประเทศไปช่วงเวลา 07.12 น.
เส้นทางคนร้าน "เมียนมาหน้าหยก" หลบหนีหลังก่อเหตุ
ผู้ต้องหาเดินออกมาจากบ้าน ผ่านบริเวณป้อมรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านก่อนจะไปเรียกแท็กซี่บริเวณถนน ก่อนไปแวะกดเงิน ที่ตู้เอทีเอ็มโดยโอนเงินผ่าน iPad ของผู้เสียชีวิต โดยแวะกดเงิน 2 แห่ง ก่อนไปซื้อตั๋วรถโดยสารประจำทาง โดยการซื้อตั๋วรถโดยสารครั้งแรกปรากฏว่ารถคันที่จะโดยสารไปเกิดเสีย จึงต้องรอรถโดยสารคันใหม่ในช่วงเย็น
ทำให้เดินทางไปถึงจังหวัดเชียงรายในช่วงเช้า ขณะที่การตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของผู้เสียชีวิตทราบว่ามีการกดโอนเงินจำนวน 22,000 บาท และจากการเอามือถือไปสแกนกดเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มอีกจำนวน 34,200 บาท
ส่วนของทางด้านเรื่องที่ผู้ต้องหามีความรู้จักกับผู้เสียชีวิตได้อย่างไรนั้น พบว่า มีการเข้าออกบ้านผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 วันก่อนก่อเหตุตั้งแต่ วันที่ 25-27 กันยายน 2566 ตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ และจากการตรวจสอบย้อนกลับไปในช่วงเวลาเวลาดังกล่าว ผู้ต้องหาและผู้เสียชีวิตจะออกจากบ้าน ไปช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. และจะกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลา 19:00 น. และในวันที่ 28 กันยายน 2566 วันเกิดเหตุกลับเข้ามาประมาณ 21.00 น. ก่อนจะมีการทะเลาะกัน
ซึ่งในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหากับผู้เสียชีวิตจะต้องมีการสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากช่วงเวลาเกิดเหตุผู้เสียชีวิตพักอาศัยอยู่คนเดียว ล่าสุดมีการเผยโฉมหน้า นาย sai myat moe สัญชาติเมียนมาร์ ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ
สำหรับการประสานติดต่อกับทางการประเทศเพื่อนบ้านเพื่อที่จะนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีนั้น หลังได้รับข้อมูลและหลักฐานจากตรวจคนเข้าเมืองว่าผู้ต้องหาหลบหนีออกไปก็จะส่งข้อมูลดังกล่าวรายงานต่อศาล เพื่อขอหมายแดงเพื่อประสานประเทศเพื่อนบ้านให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในประเทศไทยและหลบหนีออกไป