ออกมาเล่าอุทาหรณ์ชีวิต ช่วงเคยหลงผิดจนสูญเสียทุกอย่าง สำหรับพิธีกรอารมณ์ดี ตุ๊ยตุ่ย พุทธชาด พงศ์สุชาติ ล่าสุดมาเปิดในใจในรายการแฉ เทปวันที่ 4 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา เจ้าตัวเผยทั้งน้ำตาว่า เหตุเกิดจากการไปเชื่อไปฟังสิ่งๆ หนึ่ง พูดง่ายๆ คล้ายพวกลัทธิ โดยลัทธิดังกล่าวนำเอาเรื่องธรรมอันสูงส่งมาใส่หัวจนเชื่อและยอมทำตามทุกอย่างเป็นแบบแผนเข็มทิศชีวิตตน ใครเตือนใครห้ามก็ไม่ฟัง และงานในวงการที่มีก็มองเป็นเรื่องไร้สาระ ส่วนเงินเก็บร้อยล้านก็หมด แถมยังเป็นหนี้ 50 ล้าน
ตุ๊ยตุ่ย เผยว่าหากมองย้อนกลับไปหลายปีก่อน ก็จะเห็นรูปที่ร่วมเฟรมกับไลฟ์โค้ชท่านหนึ่งอยู่บ่อยๆ ก่อนจะค่อยๆหายไป และกลับมาเป็นอาตุ่ยคนเดิมในวันนี้ ที่มีความสุขกับการได้ทำบุญ ได้มีธรรมะนำใจในแบบของตัวเอง ส่วนบรรดาลูกศิษย์ดาราของไลฟ์โค้ชคนดังกล่าว ก็เหมือนจะเฟดตัวออกมากันหมดแล้วด้วย
เมื่อก่อนก็ไปไหนมาไหนกับแก๊งมดดำ แต่ไปฟังบางอย่างมาแล้วคิดว่างานในวงการเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะมันเป็นเรื่องของการเอาตัวเองเข้าไปรับฟังเรื่องบางสิ่งบางอย่าง แล้วเห็นเป็นชอบ เห็นเป็นเหมาะเป็นสม เห็นเป็นคุณธรรมอันแสนจะสูงส่ง คืองานในวงการบันเทิง จริงๆ แล้วมันสร้างความสุขให้กับคน การถ่ายละคร การทำละคร มันเอาชีวิตคนมาถอดเป็นบทเรียน คนดูจะได้ไม่ต้องมาประสบปัญหาเหมือนกับละครนั้น ถ้าดูให้เป็นมันจรรโลงไง เพื่อนฝูงที่หัวเราะเอิ้กอ้ากกันไปวันๆ มันเยียวยาจิตใจเรา บนโลกที่เราอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย เกาะกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มันเป็นความบันเทิง มันไร้สาระตรงไหน
โดนชักจูงจนหลงเตลิด มีแฟนก็ต้องเลิก เพราะขัดขวางการทำคุณงามความดี อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ในคำสั่งสอนของแต่ละสำนัก หรืออะไรต่างๆ นานา คือดีหมดนะ แต่มันอยู่ที่สติปัญญาของเราด้าย เพราะมีบ้างที่เซ็ตอัปตัวเอง เรียนแบบโคลนนิ่งกับสิ่งที่เปึของจริงของแท้ แล้วเขาก็ชักจูงเราไป ภายในภาพที่เหมือนเป็นของจริงของแท้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาทัน เราก็จะหลงเตลิดไป เหมือนอย่างที่อาเคยเป็น และเสียเวลาในชีวิตเยอะมาก ประมาณ 6-7 ปี
ไม่ใช่ไม่มีคนเตือน แต่ใครเตือนก็ผีบ้าตาขวางใส่ คือตาแข็ง ตาขวางเลย อาไก่ (สมพล ปิยะพงศ์สิริ) เคยพยายามจะพูด ก็ไปตาแข็งใส่เขา (เสียงสั่น) จนอาไก่เขาเสียใจ แล้วก็ห่างกันไปเลย ไม่ได้อยากโกรธเขา แต่รู้สึกว่าความห่วงใยมันทิ่มแทง มันขวางเรา หรือถ้ามดดำเตือน เราก็จะรู้สึกว่ามดดำคือพวกมาร พวกคนบาป พวกที่จะชักจูงเราไปในทางที่ไม่ดี เราอุตส่าห์มาดีแล้ว แล้วเหยียดคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แย่มากตัวเองในตอนนั้น
หนักจนไม่เหลือใครในชีวิต ไม่เหลือ ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังเรานะ โชคดีที่เป็นแบบไหนคนก็ยังรัก แต่ถ้าเตือนแล้วทำตาแข็งใส่เขา เขาก็เลือกที่จะถอย เขาก็บอกว่าวันหนึ่งถ้ามีสติ ถ้ารู้ตัว แล้วบาดเจ็บมา พี่จะกอดเอาไว้ พี่จะรับเสมอ (เสียงสั่น) ทั้งๆ ที่เคยทำตัวแบบนั้น
จากมีเงินเป็นหลักร้อยล้าน แต่วันหนึ่งไม่เหลืออะไรเลยนอกจากหนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียอะไรไปเยอะ ขายของมา 13 ปี เก็บเงินเก่งด้วย แต่เราไปทุ่มเหมือนเราเป็นเอฟซี อยากจะทุ่มสปอยล์เอาใจ เอาไปซื้อข้าวซื้อของ พอมานั่งทบทวนตรงนี้นะ ถ้าคนอื่นซื้อเท่านี้ เราจะได้ซื้อแพงกว่ามากๆ ตังค์มันก็จะไปหมดตรงนั้น แต่หลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น มันสูญสลายมลายสิ้นไป จนถึงวันนี้ก็เหลือไง เหลือหนี้ 50 กว่า พยายามกลับมาทำงานในวงการบันเทิง แล้วก็ไปโฟกัสการค้าขายมากขึ้น แต่มันก็ยังไปกอบกู้มาไม่ได้มากมาย ยังมีหนี้ติดอยู่หลายสิบล้าน ยังขับรถคันเก่า มีรถใช้อยู่คันเดียว แต่งตัวเหมือนเป็นคนชอบสมถะ แต่จริงๆ ไม่มีตังค์จะแต่ง (หัวเราะ)
ทองที่ซื้อเก็บไว้ก็ไม่เหลือแล้ว ขายหมดเลย คือมันเป็นเรื่องของความหลงผิด ฉะนั้นคุณผู้ชมอย่าได้วู่วามนะ ว่าเงินทองที่ใส่ลงไปจะทำให้เราได้สติ ได้ปัญญา ได้เป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ใช่นะคะ มันอยู่ที่การปฎิบัติตัวของเรามากกว่า แต่ก็พยายามคิดทุกอย่างในแง่บวก ว่าอย่างน้อยเราก็ได้เป็นอสังหาริมทรัพย์ คิดแบบนี้ไปก่อน เพื่อเป็นแรงใจยืนหยัดในการทำงาน
แต่สิ่งที่มันเสียและประเมินค่าไม่ได้ คือความรักที่เกิดขึ้น จากคนที่เขารักเรา ห่วงเรา เขาต้องผิดหวังเสียใจแค่ไหน แม่เราอยากจะเตือนอยากจะพูด แต่พอแตะเขาหน่อย บรรยากาศมาคุแล้ว หน้าตึงขึ้นมาแล้ว คุณแม่อยากจะเตือนมาก แต่สุดท้ายแม่ไม่เตือน แม่กลัวลูกบาป แล้วแฟนคลับของเรา เขาก็รู้แล้วก็ติงมาด้วย มานั่งอ่านคอมเมนต์ ก็รู้สึกว่าถ้าเขาไม่เคยรักเรา เขาจะไม่มีทางผิดหวังในตัวเรา แล้วในเวลานั้นเราทำให้หลายๆ คนผิดหวังในตัวเรา มันเสียใจมากตรงนั้นแหละ เรื่องเงินทองที่หายไปมันก็คือเงินทอง แต่ความรักที่หายไปมันเยอะมาก
ทุกอย่างเกิดจากความอยากมี ไม่รู้โดนให้กินอะไรหรือเปล่า ไม่มีหลักฐานเลยพูดไม่ได้ เกิดจากความที่เราอยากมีก่อนหนึ่ง แล้วเราก็เห็นภาพลักษณ์อันดีนั้นสอง แล้วก็เซ็ตติ้งที่มันน่าเชื่อถือ มีคนพูดว่าทำไมถึงหลงจัง คนอย่างเธอทำไมถึงหลงขนาดนั้น โดนให้กินอะไรหรือเปล่า คำตอบคือไม่รู้จริงๆ เพราะว่าอันที่เราไม่รู้ เราพูดไม่ได้ แต่เราไม่ปกติจนคนสงสัยแบบนั้น ซึ่งถ้าไม่มีหลักฐานเราพูดไม่ได้ค่ะ