จากที่ก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาเรื่อยๆ ถึงคลื่นความร้อนสูง ที่คร่าชีวิตชาวอินเดียเกือบ 100 คน ซึ่งพื้นที่ทางเหนือของอินเดีย ยังคงเผชิญคลื่นความร้อนที่รุนแรงสูงสุด ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 98 คน ในรัฐพิหารและรัฐอุตตรประเทศ ที่เผชิญสภาพอากาศร้อนจัดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตอยู่ที่รัฐอุตตรประเทศ 54 คน และรัฐพิหาร 44 คน ส่วนใหญ่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโรคประจำตัวบางอย่างอยู่แล้ว
โดย อากาศร้อนจัดทำให้อาการของพวกเขาแย่ลง หลายคนเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย หลอดเลือดสมอง หรือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย และท้องร่วง
ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่วิกฤตนี้ส่งผลให้ทางการต้องยกเลิกใบลาพักร้อน ของบุคลากรทางการแพทย์ในเมืองบัลเลีย ของรัฐอุตตรประเทศ และจัดหาเตียงเสริมให้กับห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เพื่อรับมือกับการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ป่วยแล้ว
ล่าสุดมีรายงานจาก บีบีซี ทางการรัฐอุตตรประเทศ ตอนเหนือของ ประเทศอินเดีย เร่งสอบสวนการเสียชีวิตที่คาดว่าอาจมีส่วนเชื่อมโยงกับวิกฤต คลื่นความร้อน โดยกรณีดังกล่าวกลายเป็นกระแสวิจารณ์
หลังจากนายแพทย์ทิวาคาร ซิงห์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเขตบัลเลีย เปิดเผยกับสื่อว่าระหว่างวันที่ 15 - 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 54 รายในเขตบัลเลีย และในจำนวนนี้มากถึง 25 รายอาจมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศร้อนจัด
"ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปีและมีอาการป่วยมาก่อน อาการเหล่านี้กำเริบขึ้นจากความร้อนและพวกเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส พวกเขาเสียชีวิตแม้ว่าจะได้รับการรักษา รวมถึงยาอย่างเพียงพอ" นพ.ซิงห์กล่าว และเพียง 1 วันต่อมานพ.ซิงห์ถูกสั่งย้ายกะทันหัน
ด้าน นายพระเชศ ปาฐัก รองมุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ ชี้แจงว่าถ้อยแถลงของนพ.ซิงห์เป็นการกระทำที่ประมาท พร้อมเสริมว่าทางการกำลังดำเนินการกับสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง และว่าเจ้าหน้าที่อาวุโส 2 คนถูกส่งไปสอบสวนกรณีนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงาน อีกว่าหลายพื้นที่ในรัฐอุตตรประเทศมีอุณหภูมิสูงราว 42-47 องศาเซลเซียสในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งทางการประกาศเตือนให้ผู้สูงวัยและบุคคลที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์หลีกเลี่ยงการออกนอกเคหสถาน