มีรายงานจากคุณหมอชาวไต้หวันได้ออกมาเปิดเผย เคสคนไข้ ไขมันพอกตับรุนแรง ทั้งๆ ที่เธอน้ำหนักแค่ 48 กก. ถึงกับคุณหมอถึงขั้นเอ่ยขึ้นว่า "คนผอมไม่เป็นโรคไขมันพอกตับ นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคนี้"
โดย Dr. Wei Shihang แพทย์ชาวไต้หวัน ได้ออกมาเตือนอีกครั้งว่า ถ้าคิดว่าคนผอมไม่เป็นโรคไขมันพอกตับ นี่คือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์จริงๆ ก่อนจะยกเคส ผู้ป่วยหญิงอายุเกือบ 30 ปี ตัดสินใจมาพบหมอเพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คนไข้คนดังกล่าวมีอาการปวดท้องเล็กน้อยใกล้สีข้างขวา เบื่ออาหาร และการเห็นอาหารมันเยิ้มทำให้เธอคลื่นไส้ แต่สุดท้ายต้องตกตะลึงเมื่อผลตรวจชี้ว่ามี "ไขมันพอกตับ" ในระยะที่ 2 แม้ว่าร่างกายของเธอจะผอมมากก็ตาม
คนไข้คนดังกล่าวสูง 163 ซม. แต่มีน้ำหนักน้อยกว่า 48 กก. และค่าดัชนีมวลกายของเธออยู่ที่ 18.1 ซึ่งหมายความว่าเธอมีรูปร่างผอมเพรียว นอกจากหน้าท้องจะขยายขึ้นเล็กน้อยแล้ว ร่างกายของผู้ป่วยยังบางมาก โดยเฉพาะแขนและขา
จริงๆ แล้วเมื่อมองจากภายนอกก็เดาไม่ได้เลยว่าเธอหนักมากกว่า 45 กิโลกรัม คนไข้บอกว่าเมื่อเธอเห็นพุงตัวเองใหญ่ขึ้น ก็คิดว่าอ้วนลงพุงเพราะนั่งทำงานในออฟฟิศเยอะมาก ไม่ว่าไขมันในร่างกายทั้งหมดหรือดัชนีมวลกาย (BMI) จะเป็นเท่าใด
ตราบใดที่ปริมาณไขมันสะสมในตับมีสัดส่วนมากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ ก็หมายความว่ามีไขมันพอกตับ แน่นอนว่าคนที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนผอมจะไม่เป็นโรคนี้ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจะยิ่งสูงขึ้นในผู้ที่ขาดสารอาหารและควบคุมอาหารมากเกินไป"
ในกรณีของคนไข้รายนี้ ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพยังคงใช้การบำบัดทางการแพทย์ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น และการพักผ่อนอย่างเหมาะสม คุณหมอเว่ยยังพบว่าสาเหตุของอาการป่วยของเธอคือ การรับประทาน "ผลไม้" แบบที่หลายคนชื่นชอบ ถึงขนาดคิดว่าดีต่อสุขภาพ และมักใช้เพื่อลดน้ำหนัก รวมทั้งการดื่มน้ำผลไม้มากเกินไปด้วย
"คนไข้บอกว่าเธอต้องการลดน้ำหนัก เลยมักดื่มน้ำผลไม้แทนมื้อเช้าและมื้อเย็น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชอบทานหวาน และกลัวว่าจะขาดสารอาหาร จึงเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงเสมอ อีกทั้งยังเติมน้ำตาลและน้ำผึ้งเมื่อลงในน้ำผลไม้ด้วย"
คุณหมอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผลไม้มีฟรุกโตสมาก ต่างจากกลูโคสซึ่งเป็นพลังงานหลักและนำไปใช้ในการเลี้ยงเซลล์โดยตรง แต่ฟรุกโตสจะต้องได้รับการประมวลผลโดยตับก่อนที่ร่างกายจะนำไปใช้ ในขณะเดียวกันตับเป็นอวัยวะเดียวของร่างกายที่สามารถเปลี่ยนฟรุกโตสเป็นกลูโคสได้ เมื่อเวลาผ่านไปตับจะทำงานหนักเกินไป และเริ่มเปลี่ยนฟรุกโตสเป็นไขมัน
อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลไม้สดซึ่งมีใยอาหาร สามารถขัดขวางการดูดซึมน้ำตาล และช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วจึงควบคุมแคลอรี่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอาหารที่ดี แต่การบริโภคมากเกินไป และการเติมน้ำตาลลงในน้ำผลไม้เหมือนผู้ป่วยรายนี้ จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ง่าย