นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด(มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เดอะคลีนิกค์ (THE KLINIQUE) คือคลินิกความงามที่เป็นผู้นำในเรื่องการดูแลผิวมาตลอด 14 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อปี 2552 มีสาขาในครือเดียวกันภายใต้มัลติแบรนด์ (Multi-Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ โดยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 50% และต่างจังหวัด 50% ได้แก่
ปัจจุบันเดอะคลีนิกค์ให้ความสำคัญกับการแพทย์ความงาม พัฒนานวัตกรรมและทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพิ่มการศัลยกรรมหลากหลายภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาล มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้บริการผ่าตัดแบบไม่ต้องพักฟื้นค้างคืนหากการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องนอนค้างคืน จะทำในโรงพยาบาลเอกชนเครือข่ายที่ร่วมมือกับเดอะคลีนิกค์อยู่ประมาณ 3-4 โรงพยาบาล เช่น ผ่าตัดยุบโหนก ตัดกราม และตัดหนังหน้าท้อง ซึ่งตอนนี้มีสัดส่วนการใช้ห้องผ่าตัด (Utilization Rate) อยู่ที่ 25-30% หลังจากที่เปิดให้บริการมาประมาณ 1 ปีครึ่ง ทำให้เห็นว่าตลาดศัลยกรรมมีการเติบโตเร็วมากโดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการทำจมูกแบบปรับโครงสร้างและเสริมหน้าอกแบบเผลเล็ก
สำหรับรายได้ในส่วนของกลุ่มธุรกิจศัลยกรรมของเดอะคลีนิกค์ในปี 2566 เติบโต 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนการดูแลรักษาเรื่องผิวหนังเติบโต 15 - 20% ต่อปี ในขณะที่ภาพรวมรายได้ทั้งหมดในเครือโตขึ้น 39% โดยตั้งเป้าไว้ว่าแผน 5 ปี (2566-2570) จะเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี
โดยในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่3,000 ล้านบาท ด้วยแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งการที่เราสามารถขยายไปในต่างจังหวัดได้ดี ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีแผนระยะยาว 3 ปี จัดตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 500 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทางเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น
“หากมองภาพตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เดอะคลีนิกค์ยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและใต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่องเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาการบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาร์เนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต"
สำหรับจุดเด่นที่เป็นเสน่ห์ของเดอะคลีนิกค์หลักๆมีอยู่ 3 อย่างคือ
1. นวัตกรรม
2. ทีมแพทย์ผู้ชำนาญในระดับอาจารย์
3. การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศโดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าระดับบนกำลังซื้อสูงในปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
โดยฐานลูกค้าที่มีอยู่เกินกว่า 2 แสนราย มีอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำประมาณ 70% ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่จะเข้ารับบริการ 2 ส่วนคือ 1.ดูแลผิวพรรณและคงความอ่อนเยาว์ 2.เปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาตัวเอง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่เข้ารับบริการด้านเวลเนสที่กำลังขยายตัวด้วยแนวคิดอยากอายุยืนและสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งดูแลรักษาโรค เช่น สร้างกล้ามเนื้อ ฉีดเสริมภูมิเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมภูมิต้านทานโรคมะเร็ง เสริมวิตามินเฉพาะบุคคล
นายแพทย์อภิรุจ เปิดเผย ปัจจุบันเดอะคลีนิกค์มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,000 คน เรียกได้ว่าเทรนนิ่งบุคลากรทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร เพราะคนที่เข้ารับบริการส่วนใหญ่จะไม่หยุดแค่การทำเพียงหัตถการอย่างเดียว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการแพทย์ความงามที่เกี่ยวกับศัลยกรรมมีอัตราการเติบโตสูงมาก คนยอมรับเรื่องศัลยกรรมและหัตถการจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจาก 7 หมื่นล้านบาทจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านบาท ในอีก 5-6 ปี ซึ่งขนาดใหญ่ใกล้เคียงครึ่งหนึ่งของตลาดโรงพยาบาลเอกชนในขณะนี้
เดอะคลีนิกค์ถือว่าให้บริการครอบคลุมความงามทุกแขนง มีความปลอดภัยสูง ด้วยผลิตภัณฑ์และเครื่องมือส่วนใหญ่นำเข้าจากยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น เครื่องมือ Ultheraทางเดอะคลีนิกค์มีให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยและในเอเชียกว่า 50 เครื่องลูกค้าจะเข้ามารับบริการยกกระชับผิว ปรับรูปหน้า โดยวิธีที่ไม่ผ่าตัดมากที่สุด ด้วยการใช้คลื่นพลังงาน ฉีดเติมเต็ม หรือการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งการทำเข้ารับบริการความงามในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงผู้หญิงเท่านั้น แต่มีสัดส่วนเป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นมากถึง 20-30% และเริ่มอยู่ในกลุ่มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ หลายคนมีผู้ปกครองพามาทำตั้งแต่อายุต่ำกว่า 20 ปีเพื่อเตรียมตัวสำหรับเข้าวงการบันเทิงหรือการประกวดต่างๆ