เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา สองสามีภรรยา คุณไพรัตน์ ชาโรจน์ และ คุณศศิธร นาควิจิตร ได้เข้าพบทีมงานเพจสายไหมต้องรอด ร้องเรียนเรื่องที่ถูกเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรค์มาปลูกบ้านติดป้ายประกาศขายในที่ดินของตัวเองที่ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 57 ร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายที่โยนกันไปมา สุดท้ายคดีถูกดองถูกปรับสร้างบ้านไม่ขออนุญาต ทั้งที่ทางโครงการยอมรับว่าปลูกบ้านในที่ดินผิดแปลง
คุณไพรัตน์ เล่าว่า ช่วงปี 57 ตนได้ซื้อที่ดินในลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี จากการขายทอดตลาดของธนาคารอาคารสังเคราะห์ เนื้อที่ 110.5 ตารางวาในราคา 450,000 บาท ตอนนี้ก็ยังผ่อนอยู่กับธนาคาร ที่ผ่านมาเวลาตนว่างก็จะแวะไปดูที่ดินเป็นประจำ แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ไป แต่ให้เพื่อนบ้านใช้ประโยชน์ที่ดินปลูกผัก ปลูกมะเขือไปพรางๆ ระหว่างเก็บเงินเพื่อสร้างห้องเช่า
กระทั่งวันที่ 13 ธันวาคม 64 ได้รับหนังสือจากสำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี นัดหมายให้มาเป็นพยานทำการชี้แนวเขตรังวัด และแบ่งแยกที่ดินให้กับโครงการ เมื่อมาถึงพบว่าในที่ดินของตนเองมีบ้าน 2 หลัง สร้างไปแล้วประมาณ 60 เปอร์เซ็น และติดป้ายประกาศขาย ซึ่งบ้านทั้งสองหลังมีการปลูกผิดแปลง แต่ทางผู้อำนวยการกองการช่างเทศบาลลาดหญ้า กลับแจ้งว่าตนจะถูกดำเนินคดีในฐานการก่อสร้างบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และการก่อสร้างบ้านไม่มีการยืนแบบแปลน ต้องระงับการก่อสร้างไว้ชั่วคราว ตอนนั้นได้แจ้งไปแล้วว่าตนเป็นเพียงเจ้าของที่ ไม่ได้เป็นคนก่อสร้างบ้านทั้งสองหลัง คนที่สร้างคือโครงการ แต่เขาไม่ฟังซ้ำบอกจะต้องเสียค่าปรับจำนวนเงินกว่า 6 หมื่นบาท และมีค่าปรับวันละ 1 หมื่นบาท เพราะคุณเป็นเจ้าของที่ต้องรับผิดชอบ
ตอนที่ไปเห็นบ้านในที่ตัวเองก็ได้มีการสอบถามทางป้าเพื่อนบ้านที่เราให้เขาใช้ประโยชน์ ทราบว่าก่อนที่เขาจะมาสร้าง มีเจ้าของโครงการจะมาถมที่ทางป้ายังบอกที่ตรงนี้มีเจ้าของ ทางเจ้าของโครงการยังบอกว่าได้ซื้อไว้แล้ว ป้าเลยเข้าใจว่าทางผมได้ขายโครงการไปแล้วจึงไม่ได้ทักท้วง
เมื่อถามเจ้าของโครงการยังบอกไม่ทราบว่าที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของเขา มารู้ทีหลังว่าที่เขาซื้ออยู่ติดกับที่ตนเอง ตอนที่เขามาสร้างก็ไม่ได้มีการขอรังวัด ไม่ได้ขอปลูกสร้าง
ต่อมาได้เข้าแจ้งความที่สภ.ลาดหญ้า ตอนนั้นยังไม่รับแจ้งให้ไปหาเอกสารยืนยันเนื้อที่ จากกรมที่ดินมาก่อน พอไปกรมที่ดินเพื่อขอรังวัดใหม่ แต่กลับบอกว่ายังหาคิวไม่ได้ต้องรอก่อน เมื่อได้รังวัดก็เอากลับไปแจ้งความ จน 19 มกราคม ตำรวจนัดไปสอบปากคำแต่ปรากฎว่าเจ้าของโครงการเข้ามาขอไกล่เกลี่ย แต่ตกลงกันไม่ได้
จึงเข้าร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงค์ธรรม จ.กาญจนบุรี โดยทางศูนย์ดำรงค์ธรรมทำหนังสือไปยัง สภ.ลาดหญ้า เพื่อขอเลขคดี จากนั้นทางสภ.ลาดหญ้าได้รับคดี ในเดือนมีนาคม 65 ใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 5 เดือน ตอนนี้อยู่ในชั้นอัยการ แล้วเงียบไป รวมถึงมีหนังสือไปยังเทศบาลลาดหญ้าสอบถามกรณีที่มีการบุกรุกปลูกบ้านในพื้นที่คนอื่น ทางเทศบาลได้มีหนังสือตอบกลับว่ากรณีบุกรุกไม่มีความผิด ผู้ก่อสร้างสามารถมาขอออกเลขที่บ้านได้ในภายหลัง ส่วนนี้ตนมองว่าไม่ยุติธรรมกับตนเอง ที่ดินเป็นของตนจะให้คนอื่นมาขอเลขที่บ้านที่ตนเองได้อย่างไร ตอนนั้นเขาก็ให้เซ็นต์รับทราบแต่ตัวเองไม่เซ็นต์เพราะถ้าเซ็นต์ไปก็เท่ากับว่าตนเองรู้เห็นกับการก่อสร้างไปด้วย
หลักเกิดเรื่องทางโครงการได้มาขอซื้อที่ดิน ขออย่ารื้อ ถ้าจะรื้อมาขายให้เขา ตอนนั้นได้มีการเสนอราคาไปจำนวนหนึ่ง แต่เขาบอกราคาสูงรับไม่ไหว ส่วนตนมองว่าตอนที่ซื้อปี 57 ผ่านมาหลายปีราคาที่ดินก็ขึ้น ประกอบกับถ้าเขาได้ที่ดินตรงนี้ไปต่อกับที่ดินเขาก็จะกลายเป็นที่ผืนใหญ่ ส่วนตนเองหากขายไปแล้วไปหาที่ใหม่ก็คงจะได้ราคาที่สูงกว่าราคาที่ตนเสนอไป ที่ตรงนี้ตั้งใจจะเก็บไว้ทำห้องเช่า หากมีความจริงใจมาตกลงกันใหม่ ถ้ายังไม่ได้ก็ขอเก็บไว้ทำตามที่ตนเองตั้งใจในบั่นปลายชีวิต
ด้านเพจสายไหมระบุว่าหลังจากนี้จะต้องพาผู้เสียหายไแยื่เรื่องร้องทุกข์ที่ สอช. สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้การช่วยเหลือหาแนวทางต่อไป
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews