จากกรณีรายงานจาก เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ ระบุว่า หญิงชาวจีนคนหนึ่งหวังช่วยชีวิตสัตว์ด้วยการทำบุญปล่อยปลาดุกจำนวน 12.5 ตัน ซึ่งเป็นเงินประมาณ 446,000 บาท โดยเธอปล่อยปลาดุกลงในทะเลสาบบริเวณมณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน เพื่อหวังให้ครอบครัวและตัวเองโชคดี
ภาพจาก เว่ยป๋อ
จนทำให้เธอถูกศาลสั่งฟ้องในข้อหาปล่อยปลาในจำนวนมากเกินไปและก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปลาตายเกลื่อนในอีกไม่กี่วันต่อมา และทำให้เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานถึง 10 วันในการเอาซากปลาที่ตายออก
ตามรายงานของอัยการระบุว่า หญิงชาวจีนแซ่ซูได้ซื้อปลาดุกพันธุ์คลาเรียส (Clarias) จำนวน 12.5 ตันจากร้านของพ่อค้าปลาแซ่หลิว จากนั้นเอาไปปล่อยลงในทะเลบสาบในเมืองฉางโจวเมื่อเดือนธันวาคม 2564 แม้ว่าเธอจะเลือกปลาสายพันธุ์แปลกที่โตเร็วและราคาถูก แต่เธอก็ยังต้องจ่ายเงินในการทำบุญมากถึง 90,400 หยวนหรือราว 446,000 บาท ปรากฏว่าปลาที่เธอปล่อยตายเกลื่อนและทำให้เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานถึง 10 วันในการเก็บปลาที่ลอยตายเต็ม
โดยนางซู และนายหลิวถูกศาลสั่งฟ้องเมื่อเดือนกันยายนปี 2565และสั่งให้จ่ายค่าชดเชยมากกว่า 90,000 หยวนหรือราว 444,000 บาท และต้องจ่ายค่าปรับอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ระบุ ขณะที่ในตอนแรกทั้งสองอ้างว่า พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และนางซู กล่าวเสริมว่า เธอตั้งใจจะทำความดี ทำไมเธอต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายด้วย
ทั้งนี้ยัง มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับ ฟางเซิง หรือ การปลดปล่อยชีวิต เป็นความเชื่อของชาวจีนมานานกว่า 2,000 ปี โดยเชื่อว่าการช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นการแสดงถึงความเมตตาตามความเชื่อทางพุทธศาสนา และหวังว่าจะได้รับโชคลาภจากการปล่อยชีวิตสัตว์อีกด้วย คล้ายกับความเชื่อของฝั่งประเทศไทยเราเกี่ยวกับการปล่อยปลาหน้าเขียงแล้วได้บุญใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงความถูกต้องด้วยเพราะปลาบางชนิดไม่เหมาะสมสำหรับปล่อยไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะอาจทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำได้นั่นเอง
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews