จากกรณีดราม่าก่อนหน้านี้ที่ "โซอี้ สาวน้อยวัย 17 ปีจากสิงคโปร์" สุดภูมิใจโพสต์คลิปรีวิวลงใน TIKTOK เมื่อได้รับกระเป๋าที่คุณพ่อทำงานเก็บเงินซื้อจากแบรนด์ Charles & Keith ให้เธอเป็นของขวัญ แต่กลับมีชาวเน็ตบางคนมาดูถูกว่า กระเป๋าในราคานี้ไม่เรียกว่ากระเป๋าแบรนด์หรู
ในเวลาต่อมา โซอี้ ได้โพสต์คลิปโต้ตอบผู้แสดงความเห็นในเชิงเหยียดหยันจากคลิปดังกล่าว โดยเธออธิบายทั้งน้ำตาว่า ตัวเธอและครอบครัวไม่ได้มาจากพื้นเพของคนที่ร่ำรวยเงินทอง กระเป๋าในคลิปอาจไม่ใช่ของหรูหราสำหรับบางคน แต่พ่อของเธอก็ทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมาซื้อกระเป๋าใบนี้ให้เธอ เรียกได้ว่าคำตอบของเธอสร้างความประทับใจให้ชาวเน็ตอย่างมาก หลายคนชื่นชมในทัศนคติของเธอ
หลังจากนั้นคลิปทั้งสองของ โซอี้ กลายเป็นไวรัลที่มีผู้ชมรวมกันได้มากกว่า 13 ล้านครั้งแล้ว ชาวโซเชียลจำนวนมาก โดยเฉพาะจากสิงคโปร์แสดงความเห็นว่า คลิปของ โซอี้ สะท้อนภาพความเย่อหยิ่งหัวสูงของคนมีเงินและมีฐานะทางสังคมสูงของสิงคโปร์ได้อย่างชัดเจน กระทั่ง โฆษก Charles & Keith ได้เชิญเธอให้ไปพบผู้ก่อตั้งบริษัท
และล่าสุด คีธ หว่อง ผู้ก่อตั้งแบรนด์สินค้าแฟชั่น Charles & Keith ได้ต้อนรับและพูดคุยกับ โซอี้และคุณพ่อของเธอ ที่มาเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของพวกเขา แล้ว อีกทั้งโซอี้และพ่อได้รับการต้อนรับแบบแขกวีไอพีและได้เยี่ยมชมเบื้องหลังการทำงานของแบรนด์ รวมถึงได้พูดคุยกับ คีธ หว่อง หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์และประธานบริหารของด้วย ซึ่ง โซอี้ ได้โพสต์ภาพการเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของ Charles & Keith บนไอจีของเธอ พร้อมระบุว่า สนุกมาก
"เรามีโอกาสอันน่าทึ่งในการเยี่ยมชมสํานักงานใหญ่ของ Charles & Keith และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเบื้องหลัง มันสนุกมาก ทุกคนน่ารักและเป็นที่พัก เรามีโอกาสนั่งลงกับ คีธ ผู้ก่อตั้ง และทําความรู้จักกับบริษัทของพวกเขาให้ดีขึ้นเล็กน้อย ขอบคุณทุกคนที่แสดงการสนับสนุนของพวกเขา!!! ถ้าไม่มีเธอ เราคงไม่มีวันอยู่ที่นี่"
และแม้ว่าตัว คีธ หว่อง จะไม่ได้ให้ข้อมูลว่าบริษัทจะเป็นสปอนเซอร์สินค้าประเภทกระเป๋าให้ โซอี้ ต่อไปในอนาคตหรือไม่ แหล่งข่าววงในก็แจ้งว่า เด็กสาวได้รับของขวัญเป็นสินค้าของบริษัทพร้อมกับบัตรกำนัลในการซื้อสินค้า แต่ท้ายประโยคของ โซอี้ ที่โพสต์ลง ไอจี เธอยังบอกอีกว่า รองเท้าคือรองเท้า Charles & Keith Lucile Satin Platform Sandals สีดํา
สำหรับ Charles & Keith ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง ชาร์ลส์ และ คีธ หว่อง ในปี 2539 ทั้งสองเริ่มต้นในรูปแบบของธุรกิจขนาดเล็ก ต่อมาสินค้าของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเปิดร้านสาขาได้มากกว่า 600 แห่งและมีลูกจ้างราว 4,000 คนทั่วโลก
โดยในปี 2554 กลุ่มบริษัทสินค้าแบรนด์หรู LVMH ตกลงซื้อหุ้น 20% ของบริษัท แต่สองพี่น้องก็ขอซื้อหุ้นกลับคืนมาในภายหลัง