เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ

25 มกราคม 2566

แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ วันนี้ทีมข่าว Thainews Online จะพาไปทำความรู้จัก และพาไป เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพรช หรือ เพชรตาแมว นำโชคจริงหรือ ไปไขข้อสงสัยพร้อมกันค่ะ

แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ วันนี้ทีมข่าว Thainews Online จะพาสายมูไป เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ เพชรตาแมว มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมใครๆ ก็หมายปองอยากได้มาครอบครอง บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัย ในเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อโบราณ และ หลักความเป็นจริงในปัจจุบันค่ะ

เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ

เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ

แมวตาเพชร หรือ เพชรตาแมว เกิดจากแมวที่ตาเป็นต้อหินข้างใดข้างหนึ่งจะมีน้ำเลี้ยงไหลออกมาตลอดเวลา แต่แมวจะไม่มีความเจ็บปวด แต่ข้างที่เป็นต้อแมวจะมองไม่เห็น เมื่อแมวเสียชีวิตลง ตาข้างที่เป็นต้อจะแข็งเหมือนก้อนหิน จึงเรียกว่า เพชรตาแมว

บทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ เมื่อปี พ.ศ. 2539 มีเจ้าของแมวตาเพชจัดธีวิวาห์ให้กับแมวเพื่อเป็นสิริมงคล ซึ่งเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จนทำให้ เจ้าของแมวบางคนเกิดความโลภ เข้าใจว่าแมวตัวเองเป็นแมวตาเพชร ควักเอาลูกตาแมวตาเพชรตัวนั้นเพื่อนำไปขาย จนทำให้แมวตัวนั้นตาบอดสนิทเป็นที่น่าเวทนา อันที่จริงเป็นเรื่องของบุญบารมี  ที่ผู้ใดจะมีบุญวาสนาอันสูงส่ง และเป็นเรื่องของภพของชาติปางก่อนด้วย ถึงจะได้ครอบครอง "เพชรตาแมว"

แมวตาเพชร ความเชื่อ

แมวสีสวาท คือ "แมวตาเพชร" ที่จัดว่าหายากมาก ตาเพชรทั้ง 2 ข้างของแมวชนิดนี้ จะเป็นแก้วหรือเพชใส ตอนเป็นแมวตาเพชร (ยังมีชีวิตอยู่) และหลังจากตายแล้วจึงกลายเป็นเพชรตาแมว ถึงแม้ร่างกายจะเน่าเปื่อยไป 10 - 20 ปี แต่นัยน์ตาเพชรจะคงสภาพใสวาว ยิ่งกว่าเพชรเสียอีก นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่แมวสีสวาทเป็นเพชรตาแมวมีราคามหาศาลยิ่งกว่า พระเครื่อง หลายเท่าตัว ตามที่สนนราคากัน สำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของมีโอกาส 1 ในล้าน, ล้าน, ล้าน ที่จะได้ครอบครองเพชรตาแมวชนิดเพชรใสที่ได้จากแมวสีสวาท สุดยอดแมว มหาโชคลาภมีแต่ความร่ำรวย

เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ

เพชรตาแมวมีกี่ชนิดที่ได้รับความนิยม

1. ชนิดหินใส 

2. ชนิดหินใสมีสี

3. ชนินใสเป็นแก้ว

โดยแบ่งเป็นดังนี้ 

1. ชนิดหินใส ชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายหินอ่อน, หินลูกรัง บางเม็ดจะมีผิวหยาบบ้าง ละเอียดบ้าง แล้วแต่เพชตาแมวแต่ละสายพันธุ์ บางเม็ดจะมีสีขาวขุ่น,ใสขุ่น, ดำขุ่น แมมีชีวิตอยู่เมื่อมองเหยื่อนาน ๆ เหยื่อประเภทจิ้งจก, นก, หนู จะแพ้นัยน์ตาแมวแล้วตกมาเป็นอาหารแมว โดยที่แมวไม่ต้องทำอะไรลักษณะพิเศษนี้จะเปลี่ยนไปหลังจากแมวเสียชีวิตแล้ว ขึ้นอยู่กับเจ้าของผู้ครอบครอง จะหมั่นสร้างบุญบารมี ทำคุณงามความดี เพชรตาแมวถึงจะสำแดงฤทธิ์เดชให้เจ้าของได้ประจัก

2. ชนิดหินใส มีสี ชนิดนี้กิดขึ้นกับแมวที่เจ้าของเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี ส่วนมากจะเป็นตาเพชรข้างเดียว เพชรตาแมวประเภทนี้จะมีความใสปนขุ่น มีขนาดลูกแก้ว ในความใสจะมีลักษณะเหมือนเสี้ยนไผ่อยู่ในตา ม่านตา เมื่อส่องด้วยกล้องขยายจะเห็นเป็นรังผึ้งขนาดเล็กและมีเส้นเลือดขนาดเล็ก คุณสมบัติจะเหมือนข้อแรก เพชรตาแมวประเภทนี้จะมีสีฟ้าน้ำทะเล, สีเหลือง, เขียวอมฟ้า ม่วงอมชมพู ฯลฯ

3. ชนิดใสเป็นแก้ว ชนิดนี้จะมีลักษณแตกต่างจาก 2 ประเภทดังกล่าว คือ ตอนเป็นแมวตาเพชร (ยังมีชีวิตอยู่) และมาเป็นเพชรตาแมว (เสียขีวิตแล้ว)  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพชรจะมีความใสลึก ไม่มีขาวขุ่นมาเจือปน มีมิติซับซ้น มีจุดไวแสงต่าง ๆ ไม่อยู่นิ่ง เหมือนตาแมวตอนที่มีชีวิตอยู่ ไม่สามารถทำเทียมเลียนแบบได้ เพชรตาแมวประเภทนี้จะมีสีเดียวกับสัตว์เท่านั้น เนื้อเพชรจึงจะใสบริสุทธิ์ และมีความวาวใสมาก

แมวตาเพชรโดยผู้เชี่ยวชาญ

ล่าสุด อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ให้ความคิดเห็นกรณีดังกล่าวว่า 

ที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินข่าวเรื่อง "แมวตาเพชร" หรือ "เพชรตาแมว" เป็นระยะๆ พร้อมกับความเชื่อที่ว่า ถ้ามีไว้ จะทำให้เกิดโชคลาภต่างๆ นานา เลยมีการซื้อขายกันในราคาที่สูงมาก แต่จริงๆ แล้ว เมื่อแมวตัวนั้นตายไป ลักษณะที่ดูคล้ายกับมีเพชรพลอยอยู่ในตาของแมว ก็จะหายไปด้วย เพราะว่าอาการแวววาวภายในตาของแมวนั้น อาจจะเป็นความผิดปกติของดวงตาของแมว เป็นโรค "ต้อ" ของตาแมว คล้ายกับคนก็เป็นโรคต้อตาได้เช่นกัน

สำหรับเรื่อง "แมวตาเพชร" นี้ ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ รศ. นายสัตวแพทย์ ปานเทพ รัตนากร อดีตคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยให้สัมภาษณ์อธิบายเอาไว้ว่า เรื่องนี้ได้มีการอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ว่า แมวมีความผิดปกติ แมวป่วย ตาของแมวเป็นต้อ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ตรงกันข้ามแมวกลับน่าสงสารด้วยซ้ำ ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นที่เลนส์ตาแมวซึ่งเป็นต้อ จึงมีลักษณะสีขุ่นมัวและมีประกายออกมา ดังนั้นความเชื่อที่ว่าแมวตาเพชร ควรเลิกกันได้แล้ว ไม่ใช่หลงเชื่องมงาย

อยากให้ความรู้ว่า ความผิดปกติดังกล่าว พบได้เป็นระยะๆ โดยแมวเป็นต้ออาจพบได้ตั้งแต่แมวอายุยังน้อยๆ หรือ อาจจะพบภายหลังจากที่แมวโตขึ้น ซึ่งการที่แมวเป็นต้อ เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นควรรีบพาแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อรักษาจะดีกว่า เพราะหากปล่อยไว้ พอถึงระยะหนึ่ง แมวอาจมีความทรมาน เจ็บปวดบริเวณดวงตา การที่แมวเป็นต้อไม่สามารถมองเห็นได้ อาจทำให้แมวเกิดอุบัติเหตุ หาอาหารกินไม่ได้ หากปล่อยไว้อาจมีการอักเสบ ลุกลาม เจ็บปวด ดังนั้นควรพาไปพบสัตวแพทย์ ไม่ใช่เก็บไว้อย่างนั้น เพราะบางครั้งแมวป่วยมาก อาจถึงขั้นต้องควักลูกตาทิ้งไป

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด ต้องให้สัตวแพทย์ดูแลรักษาโดยตรง เรื่องนี้อยากแนะนำคนที่เป็นเจ้าของแมว รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ว่าแมวมีความผิดปกติ แมวป่วย ไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การที่คนไทยยังมีความเชื่อเรื่องแมวตาเพชรอยู่ กรณีนี้ก็คงจะเหมือนกับจิ้งจก 2 หาง สะท้อนให้เห็นถึงการศึกษาของคนในสังคม ซึ่งถ้าหากมีการปฏิรูปการศึกษา ให้คนเลิกไหว้จิ้งจก 2 หาง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ดังนั้นหากจะแก้เรื่องนี้ควรแก้ที่ต้นทาง คือ ให้การศึกษาที่ถูกต้อง

ขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับลูกด้วย เพราะหากมีการให้ความรู้ที่ถูกต้อง แต่คนแวดล้อมยังเชื่ออยู่ ก็อาจทำให้เด็กคล้อยตามได้

ดังนั้น ก็สรุปได้ว่า แมวตาเพชรนั้นจริงๆ ก็คือแมวป่วยเป็นโรคต้อตาครับ ควรรีบพาไปหาสัตวแพทย์ เพื่อทำการรักษาแต่เนิ่นๆ ดีกว่าปล่อยไว้จนกระทั่งมันตาบอดสมบูรณ์ จะป่วยหนักจนถึงเสียชีวิตได้ครับ

เปิดความเชื่อโบราณ แมวตาเพชร นำโชคจริงหรือ

ขอบคุณ : อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์