กลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคมไม่น้อย หลังจากเศรษฐีวัย 67 ปี เข้าร้องสื่อถูกลูกชาย – ลูกสะใภ้ และครอบครัวของลูกสะใภ้ได้ทำการกักขัง ด้วยการกรอกยาสลบหมูนานกว่า 2 ปี และทำการจัดฉากให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ก่อนยื่นศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกก่อนถ่ายโอนทรัพย์สินกว่า 65 ล้านบาท ก่อนที่ภรรยาจะเสียชีวิตหนีจาก เชื่อเป็นการฆาตกรรม
โดยรายละเอียดในการช่วยเหลือเฮียหมู หลังจากถูกลูกชายกักขังไว้มีกระบวนการอย่างไร และใครที่เป็นพลเมืองดีบ้าง โดยนายบัง (สมมติ) บุรุษไปรษณีย์ได้ออกมาเล่าว่า เดิมตนได้รู้จักเฮียหมูและภรรยา เนื่องจากบ้านอยู่ติดกัน ซึ่งตนเคยไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าบ่อย และได้รู้จักกับลูกชาย ลูกสะใภ้ของเฮียหมูด้วย แต่มีช่วงหนึ่งที่ตนไม่เจอเฮียหมูกับภรรยาเลย พร้อมกับมีข่าวออกมาว่าทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว
วันหนึ่งตนได้ไปส่งจดหมายบริเวณบ้านที่เฮียหมูถูกกักขัง ที่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ 10 กิโลเมตร ตนได้ยินเสียงคนเรียกพอหันไปดูก็รู้ว่าเป็นเฮียหมู และได้เดินไปถามเพื่อความแน่ใจ ซึ่งทางเฮียหมูจึงขอความช่วยเหลือ ช่วยพาเขาออกไปจากบ้านนี้ที ซึ่งตนก็ไม่กล้าที่จะพาออกไป เฮียหมูจึงได้เขียนจดหมายให้ตนเอาไปให้หลานที่ชื่อก้อย ซึ่งตนก็รู้จัก
ซึ่งเนื้อหาในจดหมายขอความช่วยเหลือได้ระบุไว้ดังนี้ "ผมอยู่บ้านเลขที่ XXX ถ้าเข้ามาหาต้องบอกยามว่ามาบ้านเลขที่ X ซอย 4 เข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายซอย 4 ก้อย (หลาน) จะมาหาผม ต้องแอบมาหลัง 9 โมงเช้าเพราะตั้มกับเมียจะไปขายของ กลับมาช่วง 5 โมงเย็น หากตั้มรู้จะถูกทรมานอีก ผมขอให้ก้อยช่วยให้ผมกับเมียได้อยู่ด้วยกันด้วย"
หลังจากที่ก้อยได้รับจดหมาย จึงช่วยเฮียหมูให้หลุดพ้นออกมาได้หลังจากที่ทนทุกข์ทรมานมามากกว่า 2 ปี ซึ่งหลานที่ได้มาช่วยเศรษฐีวัย 67 กับภรรยา ได้ยอมรับว่า ผิดสังเกตที่ทั้งคู่ป่วยพร้อมกัน แต่ทางลูกชายก็บอกว่า เป็นเพราะนอนน้อย จึงสงสัยว่า พ่อมีอาการแบบนี้ ทำไมไม่กระตือรือร้นพาไปหาหมอ
ต่อมาในเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายเอ ก็มีการไกล่เกลี่ยขอเงิน 10 ล้านจากลูกชาย แต่ลูกชายไม่ให้และเมื่อหลุดพ้นออกมาได้ ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้กลับมาเป็นบุคคลปกติ เพราะถูกวางยา หลังจากที่ลูกชายเคยทำเรื่องเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และขอเป็นผู้จัดการมรดก
ทั้งนี้ทางเพจ อีซ้อขยี้ข่าว2 ก็ได้เปิดเผยรูปหน้าของลูกชายของ เศรษฐีวัย 67 โดยระบุว่า "เผยหน้าลูกแท้ๆ ที่วางยาสลบหนูแม่ตัวเองร่วมหัวกับเมียหวังฮุบสมบัติกว่าหลายร้อยล้าน"
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Tnews