อีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ หลังจากที่คุณหมอลูกหมู เจ้าของเพจ "พักก้อน" ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของเธอ หลังจากที่ตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในวัย 27 ปี ทั้งที่เธอนั้นไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน โดยระบุว่า
"สวัสดี เราชื่อลูกหมู เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เป็นพี่สาวของน้องหมาไซหนึ่งตัว เป็นเด็กดีมาก เรียนดีมาทั้งชีวิต ได้เรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์ที่ยิ่งใหญ่และมีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนึงไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน (ทุกวันนี้ยังนึกเสียดายอยู่ว่าตอนเพื่อนชวนไปเที่ยวน่าจะลองดูซักหน่อย)
เริ่มชีวิตในฐานะหมออย่างเป็นทางการในปี 2020 มีความสุขกับการได้ดูแลคนไข้มากๆ และเริ่มชีวิตในฐานะคนไข้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ปลายเดือนเมษายน ปี 2022 หลังวันเกิดครบรอบ 27 ปี 2 เดือน จะพูดให้ชัดกว่านั้นคือ "คนไข้มะเร็ง"
เรื่องมันมีอยู่ว่า..วันดีคืนดีของชีวิตแพทย์ใช้ทุนปีสอง เราคลำได้ก้อนที่คอ โตเร็วจนส่องกระจกก็เห็นว่ามีก้อนปูดๆออกมา ไม่เจ็บ ไม่บวม ไม่แดง สำหรับพวกเราชาวเมดดิซีนแล้ว ก้อนที่โตเร็วและไม่เจ็บ ดูไม่น่าจะเป็นก้อนที่เป็นมิตรได้เลย ก็เลยเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ เรายังจำความรู้สึกที่เหมือนพื้นโลกที่เราเหยียบอยู่กำลังแตกออก เหมือนกับว่าเราจะหล่นวูบลงไปในช่องว่างที่มองไม่เห็น ตอนที่เราอ่านผลชิ้นเนื้อของตัวเองบนจอคอมพิวเตอร์ "Diffuse large B-cell lymphoma" มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่ดุและโตเร็ว
ใน 1 ปี จะมี 6,000 คนทั่วโลกที่ถูกวินิจฉัยด้วยโรคนี้ ใน 8,000ล้านคน เราอยู่ในกลุ่ม 6,000 คนที่ถูกเลือก บางทีเราก็สงสัยว่าทำไมชีวิตที่ผ่านมาถึงรู้สึกหนักอกหนักใจจังเลยนะ ทุกอย่างเข้าใจได้ตอนเห็นผล CT scan เพื่อประเมินระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก่อนเริ่มรักษา มีก้อนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เซนติเมตรอยู่ในช่องทรวงอกของเรา อยู่ระหว่างปอดสองข้าง ใกล้ๆกับหัวใจและพวงเส้นเลือดใหญ่ต่างๆที่รับเลือดเสียกลับเข้าหัวใจ และส่งเลือดดีออกไปเลี้ยงร่างกาย
เราถูกตามมาแอดมิททันทีที่อาจารย์โรคเลือดเห็นผลCT scan คุณก้อนตัวดีโตจนไปกดเส้นเลือดใหญ่เราซะแล้ว อีกไม่ถึงสัปดาห์เราอาจจะหน้าบวม แขนบวม หายใจไม่ออก จากภาวะที่เรียกว่า "SVC syndrome" และวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เราได้ทำงานในฐานะหมอ โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเราจะได้กลับมาอีกมั้ย..ก็นะ คำว่า "มะเร็ง" ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าเราจะได้กลับมา
6 เดือนผ่านไป คุณก้อนก็ทำให้เราได้พักผ่อน อยู่บ้านอย่างระมัดระวัง ไปรับยาเคมีบำบัดตามรอบ มีหน้าที่อย่างคือห้ามติดเชื้อใดๆเด็ดขาด รับยาเคมีบำบัดให้ครบตรงเวลา และที่ทุกคนของ่ายๆ "อย่าตาย" ในวันนี้เราได้ยาเคมีบำบัดครบแล้ว การตรวจติดตามหลังรักษา อยู่ในสถานะโรคสงบ(in remission) เราได้กลับมาทำงานเต็มเวลา ได้กลับมารักษาคนไข้ และได้เป็นว่าที่แพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ ตามที่เคยฝันมาตลอดตั้งแต่เป็นนศพ.ปีห้า
เพจนี้ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกการเดินทางตลอดหกเดือนที่เราและคนรอบข้างได้ต่อสู้กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติอย่างแข็งแรง รวมถึงแชร์ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่น่าจะเป็นปัญหาที่เจอได้บ่อยในผู้ป่วยที่ต้องรับยาเคมีบำบัด สำหรับเพื่อนๆพี่ๆป้าลุงตายายที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อยากได้กำลังใจในการรักษา เรายินดีที่จะตอบข้อความเท่าที่จะมีเวลาว่างเสมอนะคะ"
นอกจากนี้ หมอลูกหมู ยังโพสต์เล่าเรื่องในมุมของหมอที่จับพลัดจับผลูเป็นคนไข้แบบงงๆ โดยระบุว่า "วันนี้อยากมาเล่าเรื่องในมุมของหมอที่จับพลัดจับผลูเป็นคนไข้แบบงงๆให้ได้อ่านกันค่า เดิมทีแล้วสำหรับเรามะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือ Lymphoma ก็เป็นแค่บทนึงในตำราเรียนที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นคำวินิจฉัยนึงของคนไข้ที่อยู่ในความดูแล (ซึ่งแผนการรักษาก็มาจากHematologistหรืออายุรแพทย์โรคเลือดซะส่วนใหญ่)
การเขียนออเดอร์ neutropenic diet, งดผลไม้เปลือกบางก็เป็นแค่ความเคยชินที่ทำให้สำหรับผู้ป่วยที่มารับเคมีบำบัด จนวันนึงคุณมะเร็งก็เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน หายใจไปพร้อมกัน
หลายคนอาจจะสงสัยว่าในฐานะหมอ พอเราป่วยซะเองจะมีความคิดความรู้สึกต่างจากคนไข้ทั่วไปยังไงกันนะ? สำหรับตัวเราเอง ไม่ต่างเลยค่ะ 555 ออกจะกังวลมากกว่าคนไข้ทั่วไปด้วยซ้ำ ตลอดเวลา 6 เดือนที่ป่วยและรับยาเคมีบำบัดเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเราเห็นมาตลอดว่าถ้าคนไข้มะเร็งได้ยาเคมีบำบัดแล้วมีการติดเชื้อแทรกซ้อน อาการจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเวลาจะกินอะไร หรือจะทำกิจกรรมอะไร เรามักจะคิดภาพตัวเองนอนซมให้ยาฆ่าเชื้อในICUอยู่
ตอนยังทำงานอยู่เราก็ไม่ต่างกับหมอหลายคนที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน แล้วเจอคนไข้ที่มาด้วยภาวะที่ไม่ได้ฉุกเฉินจริง ในช่วง 6 เดือนนั้น คนไข้ที่มีคำนำหน้าว่าแพทย์หญิงคนนี้ได้เข้าห้องฉุกเฉิน 2 ครั้ง และไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงแก่ชีวิตทั้งสองครั้ง
ครั้งแรกที่บ้านพาไปส่งเพราะเพลียมาก หน้ามืด วัดความดันได้ 60/30 (พอไปวัดที่ER ปกติซะเฉยๆ) ส่วนอีกครั้งคือท้องเสีย ปวดท้อง pain score 10/10 พอไปตรวจจริงก็ปกติดี เป็นแค่อาการลำไส้แปรปรวน และทั้งสองครั้งที่ไปห้องฉุกเฉินนั้นไม่มีเจตนาอื่นใด นอกจากกลัวตายเท่านั้นแหละ
การเป็นคนไข้ซะเองทำให้เราเข้าใจคนไข้มากขึ้น
– เข้าใจคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินตอนตีสาม เพราะท้องเสีย ปวดท้อง แค่โรคลำไส้อักเสบธรรมดาที่ไม่ฆ่าใคร แต่มันสามารถปวด pain score 10/10 ได้จริงๆ ไม่มีใครอยากเข้าห้องฉุกเฉินหรอกถ้าไม่กลัวตาย (ยกเว้นมาขอยาเดิมหรือขอใบรับรองแพทย์ตอนดึกๆ อันนั้นก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม)
– เข้าใจว่าผู้ป่วยมะเร็งทุกคนต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและต้องการกำลังใจจากคนรอบข้างขนาดไหน การต่อสู้กับผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด การต้องระวังตัวเองตลอดเวลาไม่ให้ป่วย แต่ละวันมันไม่เคยง่ายเลย
– เข้าใจว่าทุกคำสั่งการรักษาที่เขียนไปมันส่งผลกระทบกับชีวิตคนไข้จริงๆ หลายๆอย่างมันง่ายกับคนเขียน แต่ลำบากคนทำ เคยไม่เข้าใจว่าทำไมคนไข้เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้ถึงไม่ยอมฉีดยาอินซูลิน จนถึงวันที่ตัวเองโดนฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว(เข้าใต้ผิวหนังคล้ายอินซูลิน) ยังรู้สึกว่ามันเจ็บ และมันลำบากจริงๆแหละ
แม้ว่าตอนนี้โรคจะสงบ กลับมาทำงานเป็นหมอเหมือนเดิมแล้ว สถานะคนไข้ก็ยังต้องติดตัวไปอีกหลายปี เพราะยังต้องเข้ารับการตรวจติดตามเป็นระยะ (แน่นอนว่าก็ยังกังวลเหมือนเดิมทุกครั้งแหละ555)
เราผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆค่ะ ทั้งประสบการณ์ที่ผมค่อยๆร่วงเป็นกระจุกจนหมดหัว ปวดกระดูกจนนอนร้องไห้ กินอาหารแล้วไม่รู้รสชาติจนยอมแพ้ที่จะกิน อ่อนเพลียมากจนเดินได้วันนึงไม่กี่ก้าว พอมาคิดจริงๆก็ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่เคยต้องผ่านเรื่องแบบนี้มา
เรารู้สึกว่าตัวเองในฐานะหมอก็มีความเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เราเรียนรู้ที่จะมองคนไข้เป็นมากกว่างานที่ต้องทำให้เสร็จ มีหลายครั้งที่เราเลือกจะนั่งลงข้างเตียงคนไข้ที่เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็งเพื่อพูดว่า “กินข้าวเยอะๆนะคะ หมอรู้ว่ากินไม่อร่อยหรอก แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรง ผลการรักษาก็จะดีขึ้นนะ
วันนี้มาเล่าซะยาวเลย มีใครอ่านจนจบบ้างมั้ยน้า ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าประสบการณ์การรับมือกับการสูญเสียผม หรือการใช้ชีวิตกับpicc line(เส้นให้ยาเคมีบำบัด)โดยไม่ติดเชื้อให้ฟังกันนะคะ ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง ไว้พบกันใหม่ค่ะ"
ขอบคุณ พักก้อน
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews