ศึกระหว่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ ทนายตั้ม ษิทรา ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบง่ายๆ และยังคงเดือดระอุร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดฝั่งนายชูวิทย์ เคลื่อนไหวอีกครั้งโพสต์เกี่ยวกับ “ทนายสีเทา” อย่าไปอาศัยคราบคนดีอ้างในเพจว่า เป็น “เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน” พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตอีกว่า เรียก “ทนายแบรนด์เนม” ดีกว่า โดยมีด้านเพจดังได้มีการออกมาเปิดมูลค่าแฟชั่น"ทนายตั้ม" แบรนด์เนมทั้งตัว ทีเด็ดอยู่ที่นาฬิกาข้อมือ รวมหัวจรดเท้ากว่า 6.4 ล้านบาท เลยทีเดียว
โดยนายชูวิทย์ได้ออกมาเคลื่อนไหวระบุว่า “ทนายสีเทา" หากคนไม่มีทุกข์ ไม่เดือดร้อน ไม่มีใครไปหาทนาย มันไม่ได้หมายความว่า “ผู้บริสุทธิ์” จะเป็นผู้ชนะคดีเสมอ ทนายเป็นตัวแปรสำคัญในการนำเสนอต่อศาล มีทั้งทนายถูกฝั่งตรงข้ามซื้อตัว หรือเป็นทนายเก่งวิ่งความ แต่ว่าความไม่เป็นสับปะรด
ทนายที่ดีได้รับเงินค่าว่าจ้างในการว่าความให้ลูกความ มากน้อยแล้วแต่มาตรฐานของทนาย และลูกความแต่ละคดีมีความยากง่ายต่างกัน ค่าทนายก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของทนายเป็นสำคัญทนายบางคนไม่ได้เงิน หรือได้เงินน้อย แต่ทำเพราะอยากช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยแล้วมีคดีถูกฉ้อโกง
อย่างนี้จึงเรียกว่า “ทนายประชาชน” แต่การอาศัยสถานะทนาย แล้วไปเก็บเงิน “ค่าแถลงข่าว” นี่เป็นครั้งแรกที่เจอในชีวิตผมตั้งแต่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลมานับครั้งไม่ถ้วน ทนายตั้มเป็นคนแรกที่เคยพบ ผมเป็นคนสีเทา เรื่องที่เอามาตีแผ่มาจากแหล่งข่าวเทาๆ ของผม จะไปบอกใครให้รู้ก็ไม่ได้ มันผิดวิสัย “จริยเทา” ของผมเป็นอย่างมาก
หากเป็นโจรก็มี “จิตใต้สำนึก” ได้เหมือนกัน ไม่ใช่มีเฉพาะในคนดีเพียงแต่จิตใต้สำนึกของโจรมันต่างกัน มันออกจะดิบกร้าน แต่ชัดเจนตรงไปตรงมาเพราะไม่ต้องอ้างเอาธรรมะมาปกป้อง
สื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอาวุโส แต่ขึ้นอยู่กับสำนึกว่า สิ่งที่นำเสนอให้สังคมรับรู้มีประโยชน์ใดหากเป็นตลกก็สื่อความบันเทิงหัวร่องอหาย ไม่ผิด แต่ทนายที่ใช้สื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างแยบยล เท่ากับสื่อก็โดนหลอกใช้ อันนี้เป็น “กรณีศึกษา” สมาคมสื่อ และสภาทนายความ ต้องปกป้องเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของอาชีพ ไม่ให้เหลือบริ้นไรมาแอบแฝงหากิน
พอจับได้ไล่ทันว่า “ค่าแถลงข่าว” 300,000 บาท เสนอด้วยสำนักงานกฎหมายของตัวเองก็มาปัดพัลวันว่า แค่ 2-3 ครั้ง แต่ปัญหาอยู่ที่การกระทำแบบนี้ สังคม และสื่อยอมรับได้หรือไม่? หากมีคนขายยาเสพติดไปจ้างทนายตั้มว่าความ แล้วทนายตั้มนำคนขายยาเสพติดไปแถลงข่าวคิดเงิน ก็ย่อมทำได้ แต่สื่อจะกลาย
การที่ทนายตั้มอาศัย “ลูกความ” ไปใช้ในการแถลงข่าว แทนการใช้กระบวนการยุติธรรม จึงไม่ใช่วิธีการของคนมีจรรยาบรรณวิชาชีพที่ใช้เป็นสัมมาอาชีพเลี้ยงตนเอง และครอบครัวอย่างทนายทั่วไปผมรวยจากธุรกิจอาบอบนวด คราบน้ำกาม ก็ไม่ได้ปฎิเสธ รับกันตรงๆ
แต่ไม่เคยไปโกงใคร บังคับให้ใครมาทำงานหรือมาเที่ยว ทุกคนล้วนเต็มใจทั้งนั้น แต่การใช้ “สื่อ” เป็นเครื่องมือ ให้มาฟังเรื่องราวซึ่งไม่รู้จริงหรือเท็จ เพื่ออาศัยสื่อไปเผยแพร่ในเรื่องที่ตัวเองได้ประโยชน์ส่วนตัว อย่างนี้ผิดวิสัย
เป็นเครื่องมือ แล้วผู้ต้องหาก็หนีไปต่างประเทศเสียด้วย เช่น กรณีดาราสาวเอมี่ ที่แถลงแล้วหนีไปต่างประเทศ
ผมไม่โทษผู้ต้องหา คนทำผิดต้องคิดหนี แต่คนช่วยบังให้นี่สิ น่าคิดว่ายิ่งทำยิ่งรวย ไม่ได้มาจากค่าว่าความ แต่มาจากการสนับสนุนให้หนีความหรือเปล่า? การใช้วิชาชีพที่ผิดจากเจตนารมย์ ทั้งสื่อ ทั้งทนาย ย่อมส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างอย่างคาดไม่ถึง สังคมลองตรองดูเอาเอง
ทนายตั้มอย่าไปอาศัยคราบคนดีอ้างในเพจว่า เป็น “เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน” ชาวบ้านมีคดีหวังหนีร้อนมาพึ่งทนายประชาชน กลับถูกเรียกเอาค่าคุยหารือระยะเวลาสั้นๆพอเห็นว่าลูกความมีสะตุ้งสตางค์ ก็ชวนไปแถลงข่าว เสียเงิน 300,000 บาทสังคมได้สิ่งที่ไร้สาระจากสื่อ ทนายตั้มได้เงิน และผมก็ต้องทนเขียนเรื่องไร้สาระถึงคุณ
สู้ให้ผมไปทำงานของผม ต่อต้านกัญชาของพรรคบ้ากัญชา เขากระโดง ซุกหุ้น ซุกที่ และทุจริตคอรัปชั่นอีกมากดีกว่าเมื่อสังคมวิปริตต้องเลือกเอาเองแล้วครับว่าจะใช้คนอย่างผมหรือไม่ เพราะเวลาตาย ผมยอมตายเดี่ยว เมื่อมาคนเดียวก็ไปคนเดียว
ทนายอนันต์ชัย วันนี้แกก็แถลงข่าวให้ผม แต่ไม่ได้คิดเงินผมนะครับ เพราะแกไม่กลัวถูกฟ้องเป็นสิ่งที่ทนายต้องปกป้องลูกความอยู่แล้ว เรียกว่า “จรรยาบรรณวิชาชีพทนายความ”
“ทนายประชาชน” ผมว่าไม่น่าใช่
เรียก “ทนายแบรนด์เนม” ดีกว่า
ซึ่งงานนี้ทางด้านเพจ iremixbeer ได้โพสต์ภาพทนายตั้ม พร้อมแจกแจงมูลค่าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับต่างๆ ของทนายตั้มซึ่งเป็นแบรนด์เนมหรูทั้งตัวอย่างละเอียดยิบตั้งแต่หัวจรดเท้า เลยทีเดียว
เปิดมูลค่าเครื่องแต่งกาย"ทนายตั้ม" รวมกว่า 6.4ล้านบาท
ขอบคุณที่มา iremixbeer