กรณี"ทนายตั้ม"นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เปิดแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 3พ.ค.66 ตอบทุกข้อซักถาม เคลียร์ทุกประเด็นสงสัย นอกจากนี้ยังได้เผยโฉม น.ส.อ้อย ซึ่งทนายตั้มขอเรียกว่า “พี่อ้อย” เป็นลูกความตัวเองที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสมาชี้แจงประเด็นขึ้นเครื่องบิน VIP และปมซื้อบ้านหรูที่ฝรั่งเศส โดย ทนายตั้ม เผยว่ารู้จักกับ น.ส.อ้อย หรือ พี่อ้อย ตั้งแต่ตอนที่บริจาคเงินซื้อวัคซีนให้คนไทยช่วงโควิดระบาดร่วม 20 ล้านบาท ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันคือ พี่น้อย เป็นเลขาของพี่อ้อย
ส่วนประเด็นที่เดินทางไปประเทศฝรั่งเศสบ่อยครั้ง ทนายตั้ม เผยว่า จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานว่าความให้กับลูกความที่ประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากมีเศรษฐีคนไทยมีแฟนเป็นชาวฝรั่งเศส ติดต่อมาเพื่อให้ตนเป็นทนายความให้
พี่อ้อย คือใคร ?? ผู้ซื้อบ้านหรู ให้ ทนายตั้ม ส่งลูกเรียนที่ฝรั่งเศส
ด้าน พี่อ้อย กล่าวว่า ตนประกอบธุรกิจทำร้านเบเกอรี่กับแฟน ติดตามทนายตั้มในฐานะแฟนคลับตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว โดยคลิปที่ถูกนำไปเผยแพร่เรื่องการเดินทางขึ้นเครื่องบิน ทนายตั้มไปส่งตนที่สนามบิน และมีตำรวจ 2 นายยืนที่ทางเท้า เข้ามาถามทนายตั้มว่าจะไปไหน โดยทนายตั้มบอกว่ามาส่งพี่สาว ก่อนที่ตำรวจจะช่วยยกกระเป๋าให้ทั้งที่พวกตนปฏิเสธว่าทำเองได้ไปแล้ว
ส่วนพนักงานประจำเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ยกมือไหว้ทักทายตามหน้าที่เป็นปกติ อันนี้เป็น Service Mind ของพนักงานอยู่แล้ รวมถึงไม่ได้พาไปแทรกคิวผู้ใด เพราะตนมีตั๋วเดินทางชั้นธุรกิจ ที่จะมีช่องทางพิเศษอยู่แล้ว
นอกจากนี้ “พี่อ้อย” กล่าวว่า ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตนกับทนายตั้มนั้น เจ้าตัวเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย คอยประสานงานกับฝ่ายกฎหมายที่ฝรั่งเศส ที่ผ่านมาตนไม่อยากออกสื่อเพราะไม่อยากเป็นที่จับตาของสังคม จากนี้จะมอบหมายให้ทนายตั้มดำเนินการทางกฎหมายอีกครั้ง หลังมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่
สำหรับ เรื่องบ้านหรูและคอนโดมิเนียมที่ฝรั่งเศส ซึ่งโดนจับตามองว่าเป็นของทนายตั้มหรือไม่นั้น น.ส.อ้อย บอกว่า บ้านและคอนโดดังกล่าวเป็นของตนเอง ซึ่งช่วงที่ทนายตั้มมาเที่ยวที่ฝรั่งเศสก็จะให้เขาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวตนด้วย รวมทั้งเป็นบ้านที่ตนซื้อไว้รับรองลูกของทนายตั้ม ที่เตรียมการไว้ในอนาคตที่จะส่งลูกมาเรียนที่นี้ ซึ่งตนเห็นทนายตั้มเหมือนคนในครอบครัวเพราะทำทุกอย่างให้ครอบครัวของตนในประเทศไทย
โดยตอนนี้กำลังปรับปรุงคอนโดมิเนียมอยู่ ซึ่งเหตุที่ให้เขามาอยู่นั้นเป็นเพราะรู้สึกเหมือนเป็นน้องตัวเองและคนในครอบครัว เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกเป็นห่วงด้วย