ทนายอนันต์ชัย - ชาวบ้าน ขับไล่ชายชุดดำ - พระลูกวัดมหาพฤฒาราม หวั่นโดนยึด : วันนี้ (5 พ.ค.) ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรมและทีมงาน พร้อมทั้งคณะสงฆ์ ประกอบด้วยผู้แทนเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าคณะเขต เจ้าคณะแขวง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลบางรัก ได้เดินทางมาที่วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
นายอนันต์ชัย กล่าวว่าได้รับการร้องเรียนจากคณะสงฆ์วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร โดยผู้ช่วยเจ้าอาวาสจำนวน 8 รูป มายื่นหนังสือร้องเรียนกับมูลนิธิฯ โดยกล่าวหาว่า พระสิทธิชัย สิริภทฺโท หรือ พระหมู ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในวัดและภายหลังกลับมาอุปสมบทได้เพียง 3 พรรษา มาทำหน้าที่อุปัฎฐากดูแล พระราชวชิราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร ซึ่งมีอายุ 83 ปี มีความชราภาพ ทุพพลภาพ มีโรคประจำตัว ช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้
โดยพระสิทธิชัย มีพฤติกรรมกีดกันไม่ให้พระภิกษุสามเณรหรือบุคคลใดๆ เข้าใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส โดยคิดไปเองว่า จะมีคนเข้ามาปองร้ายเจ้าอาวาส และพระสิทธิชัยพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง เคยพาเจ้าอาวาสหายออกไปจากวัดโดยไม่บอกกล่าวพระภิกษุสามเณรรูปใดเป็นระยะเวลาเกือบ 20 วัน อ้างว่า มีคนทำคุณไสยใส่เจ้าอาวาส และพาออกไปจากวัดเพื่อไปพักผ่อนรักษาตัว หลังจากกลับมาแล้วก็กล่าวหาว่าจะมีคนทำร้ายเจ้าอาวาส และไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้
ต่อมาพระสิทธิชัยได้ชักนำให้องค์กรภายนอก ชื่อว่า องค์กรช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ NRO. เข้ามาภายในวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร ตั้งแต่ช่วงประมาณวันที่ 21 เมษายน 2566 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน จากนั้นเจ้าอาวาสมีการแต่งตั้งบุคคลจากองค์กรนี้ จำนวน 2 คน คือ นายสุรเดช อักษรเภตรา และนายเปรมวิชช์ ตาคาพิทักษ์สิริ เป็นไวยาวัจกร โดยไม่ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ.2536)
ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร มีการออกหนังสือคำสั่งในนามเจ้าอาวาส เพื่อสั่งการเรื่องต่างๆ ภายในวัด ในลักษณะบังคับทุกคนภายในวัดให้ปฏิบัติตาม นอกจากนี้เมื่อปี 2565 เคยมีชาวบ้านร้องเรียนพฤติกรรมของ พระสิทธิชัย ไปที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ตรวจสอบด้วย
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่าเมื่อองค์กรช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ NRO. ได้เข้ามาควบคุมการบริหารภายในวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร โดยมีการเกณฑ์ชายชุดดำแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่พกพาวิทยุสื่อสาร หลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเดินตรวจตราภายในวัด ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน มีการขับรถยนต์กระบะเปิดไฟไซเรน (ไฟฉุกเฉิน) จนเป็นที่หวาดกลัวของพระภิกษุสามเณร และผู้ที่อาศัยอยู่ภายในวัด
ตลอดถึงประชาชนที่มาบำเพ็ญกุศล เพราะพฤติกรรมการพูดจาที่ดุดันมีลักษณะคุกคามข่มขู่ แต่ยังไม่มีการกระทบกระทั่งกันแต่อย่างใด มีการขนเครื่องขยายเสียงออกจากพระอุโบสถ โดยอ้างคำสั่งเจ้าอาวาส เข้าติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม และได้อ้างคำสั่งเจ้าอาวาสใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้พระเณรตลอดถึงคนงานในวัดให้ปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนต้องการ สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่พระภิกษุสามเณรและผู้อาศัยอยู่ในวัด รวมถึงพุทธศาสนิกชนจนไม่กล้าเข้ามาภายในวัด
ต่อมาจึงได้ส่งทีมทนายเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงทราบว่าน่าจะเป็นความจริง โดยเฉพาะการแต่งตั้งไวยาวัจกรนั้น กระทำไม่ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 18 พ.ศ. 2536 ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร เพราะไม่ได้ประชุมขอมติจากคณะสงฆ์ภายในวัด และไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าคณะเขตผ่านทางเจ้าคณะแขวง และไม่มีการแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่มีการออกคำสั่งมามากมายในนามเจ้าอาวาส วันนี้จึงได้นิมนต์คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองระดับสูงของกรุงเทพมหานครมาพิจารณาเรื่องนี้เพื่อยุติปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัด
ต่อมาเวลา 10.40 น. นายเปรมวิชช์ ตาคาพิทักษ์สิริ ไวยาวัจกร ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับชาวบ้านและทีมมูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยระบุว่าพระราชวชิราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร กระทำการทุกอย่างด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนและไม่มีอาการอัลไซเมอร์แต่อย่างใด
ซึ่งพระหมูที่ถูกกล่าวหาเป็นเพียงการมาดูแลปรนนิบัติเท่านั้นไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ เนื่องจากมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปหนึ่งรายงานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในวัด และช่วงที่เจ้าอาวาสป่วย มีการไปรายงานเท็จว่าเจ้าเอาวาสเป็นอัลไซเมอร์ ชราภาพเพื่อให้คนบางกลุ่มได้เข้าไปรักษาการเจ้าอาวาส
หลังจากนั้นนายอนันต์ชัย พร้อมกับผู้แทนเจ้าคณะเข้าไปพบพระราชวชิราภรณ์ เจ้าอาวาส ภายในกุฏิ เบื้องต้นทีมทนายและชาวบ้านได้ขอเข้าพบเจ้าอาวาสที่อยู่ภายในกุฎิแต่ประตูกุฎิถูกล็อกอยู่ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวบ้านที่มารอ ชาวบ้านจึงส่งเสียงโห่ร้องพร้อมขับไล่อยู่ตลอดเวลา
ภายหลังจากการเข้าพบเจ้าอาวาสโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที นายอนันต์ชัย กล่าวว่าเจ้าอาวาสได้ทราบเรื่องการแต่งตั้งไวยาวัจกรแล้ว พร้อมยืนยันว่าทำทุกอย่างถูกต้อง แต่เจ้าอาวาสไม่ได้ทราบว่าพระภิกษุสามเณรในวัดได้รับความเดือดร้อนรำคาญ
แต่เมื่อเจ้าอาวาสไม่ยอมรับจึงได้เสนอให้เจ้าคณะภาคสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน และจะทำหนังสือถึงเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าคณะเขต เจ้าคณะแขวงและสมเด็จพระสังฆราชให้ทราบเรื่องและจะถวายฎีกาในเรื่องนี้ด้วย เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาชายชุดดำและเจ้าอาวาสวัด พร้อมทั้งพระลูกวัดดังกล่าว
กับสน.บางรัก หลังจากนี้จะตั้งคณะอธิกรณ์ตรวจสอบ พร้อมทั้งจะดำเนินการร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ป. เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัด ในข้อหา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในเรื่องการแต่งตั้งไวยาวัจกรและคณะกรรมการวัด
อย่างไรก็ตาม ทนายอนันต์ชัยพร้อมทีมงานได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางรัก เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มชายชุดดำไม่ทราบชื่อสกุลจริง ประมาณ 10 คน ในความผิดฐาน "บุกรุกฯ และความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด