จากกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบว่าการที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น ขณะที่ นายพิธา ได้ออกมาชี้แจงว่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นมรดก และเคยหารือและชี้แจงเรื่องนี้กับ ป.ป.ช.แล้ว
ส่วนทางด้าน กกต.ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่าจะมีผลต่อการรับรองผลการเลือกตั้งหรือไม่ว่า ตอนนี้มีคำร้องแล้วก็จะต้องตรวจสอบว่าเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ ซึ่งจะมีการเรียกมาชี้แจง ซึ่งจะต้องใช้เวลาและถ้าถึงเวลาจะประกาศให้ทราบ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2566 เฟซบุ๊ก จตุรงค์ สุขเอียด ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "เรียนประธาน กกต. ผมนายจตุรงค์ สุขเอียด เป็นอดีตประธานสหภาพแรงงานหัวหน้างาน บ.ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เป็นพิธีกรรายการถอดรหัสและบรรณาธิการข่าวเฉพาะกิจ เป็นหน้าที่สุดท้ายในวันที่ไอทีวี ถูก สปน.สั่งยึดความถี่จนมีสภาพจอดำเมื่อปี 2550 ก่อนเปลี่ยนผู้ผลิตใหม่ เป็นไทยพีบีเอสจนถึงปัจจุบัน
ปี 2549 ผมเป็นตัวแทนพนักงานไอทีวีทุกคนไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราวการปิดไอทีวีจากมติ ครม.ปี 2549 ต่อมาศาลปกครองไต่สวนผมและคณะ แล้วมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี จากปี 2549-2550 จึงเปลี่ยนการออกอากาศในชื่อทีไอทีวี แล้วเมื่อครบจึงให้ยกเลิกความคุ้มครอง เท่ากับบริษัทไอทีวีไม่มีคลื่นความถี่มาออกอากาศได้ทันที
วันรุ่งขึ้นพวกพนักงานนับพันคน หลายพันชีวิตในครอบครัวลำบากมากครับ จากการตกงาน บริษัทไอทีวีจึงกำหนดการชำระเงินเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน พนักงานบางส่วนถูกถ่ายโอนไปสังกัดไทยพีบีเอส โดยนับอายุงานใหม่ เพราะไม่ใช่บริษัทเดียวกันและไม่ใช่ไอทีวีสาขา 2 แต่อย่างใด เพราะไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน พนักงานบางส่วนชราภาพไม่มีที่ทำงานต้องกลับบ้านเดิมจนวาระสุดท้าย บางส่วนได้งานทำในสื่ออื่นๆ ตามความรู้ความสามารถ ส่วนผมทำงานกับช่อง 3 ในข่าว 3 มิติจนปัจจุบัน
ผมพร้อมไปเป็นพยานให้คณะกรรมการไต่สวนให้กับท่านได้ว่าไอทีวียังคงทำหน้าที่สื่อสารกับประชาชนอยู่หรือไม่ การสิ้นสุดสถานภาพสื่อสารต่อสาธารณในฐานะสื่อมวลชนยุติไปแล้วหรือไม่ พร้อมมีหลักฐานการเลิกจ้าง หนังสือเลิกจ้าง หนังสือรับเงินชดเชยการเลิกจ้าง หนังสือการไปรับเงินสงเคราะห์คนว่างงานจากกระทรวงแรงงาน และตลอด 16 ปีที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ผมไม่เคยได้เห็นหรือรับชมข่าวใดๆ จากการแพร่ภาพจากไอทีวีเลยในทุกช่องทาง
ผมจึงต้องการให้ท่านสอบถามข้อเท็จจริงในบทบาทหลังปี 2550 ของไอทีวีให้ปรากฏก่อนจะมีคำวินิจฉัย ในกรณีคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าไอทีวีเป็นสื่ออยู่ถึงตอนไหนกันแน่ๆ ผมไม่ใช่ติ่งคุณพิธา และพรรคการเมืองใดๆ ถ้าจะเป็นติ่งจากประวัติการทำงานผม คือมีติ่งเดียว คือติ่งความยุติธรรม เว้นแต่ท่านสามารถพิสูจน์ให้ผมและเพื่อนๆ ได้ว่า 16 ปีมานี้ คนไทยยังได้รับชมสื่อจากช่องไอทีวีอยู่โดยที่พวกผมไม่รู้มาก่อน ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ควรทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและยุติธรรม
อย่าเอาสื่อที่พวกผมรัก เคยเอาชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเป็นแพะทางการเมือง อย่าสร้างตราบาปให้กับสื่อที่ถูกปิดไปอีกเลยครับ
ถ้าท่านต้องการไต่สวนผม ผมพร้อมจะไป แต่ขอให้แจ้งล่วงหน้านิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่ผมอยู่แต่ในสวนของผมครับ……"