คุณแม่ท่านหนึ่งโพสต์อุทาหรณ์เตือนภัยลงบนเฟซบุ๊ก หลังจากที่เกือบสูญเสียลูกสาวไปตลอดกาลเพราะของกินที่ซื้อจากตลาดนัด และด้วยความไร้จิตสำนึกของคนบางกลุ่มที่ผสมกัญชาลงในอาหารแล้วไม่แจ้งลูกค้า โพสต์ของคุณแม่ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 1.2 หมื่นครั้งด้วยกัน
คุณแม่ โพสต์ประสบการณ์แทบขาดใจ
#อุทธาหรณ์มนุษย์แม่ ชีวิตช่างเปราะบางแม่เกือบเสียหนูไปเพราะความไร้สำนึกของคนบางกลุ่ม!!!
ไม่เคยคิดว่าชีวิตลูกจะได้admitted ใน ICU
12 /05/2023 วันนั้นเราใช้ชีวิตปกติกันมากอัณณาเรียนภาษากับทิชเชอเหมือนทุกๆวัน เราจะไปส่งทิชเชอที่ตลาดบางใหญ่ ทุกครั้งเราจะแวะซื้ออาหาร ขนม ไปกินกันต่อที่บ้านคุณยาย นี่คือกิจวัตรที่เราทำกันประจำเสมอๆ ใครจะคิดว่าครั้งนี้เกือบเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะมีกัน 4 คนพร้อมหน้า!!
ไปถึงบ้านคุณยาย แม่ให้พี่น้ำข้าวป้อนข้าวน้องและกินไปด้วยกัน เมนูวันนั้น เด็กๆกินซูชิ(เจ้าประจำ) โดนัท และขนมโตเกียว(ซื้อบางครั้ง) เริ่มกินประมาณ 2ทุ่ม กินเสร็จจากบ้านคุณยายกลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าเราแม่ลูกก็ได้นอนกันเวลาเกือบ 5 ทุ่ม
คืนนั้นอัณณาดีใจมีความสุขมาก เพราะน้องนอนเร็ว จะได้ครองจุ๊บเต้าแม่คนเดียว นอนเล่านิทานกันไปกอดกันไปแม่ลูก อัณณาหลับยากกว่าทุกที…แม่ปวดหลังแล้วลูกจ๋า แอบเคืองลูกอยู่นิดๆ เวลาผ่านไปอยู่ๆอัณณากอดแม่แน่นพูดว่า "หม่ามี๊จ๋าหนูคิดว่าหนูไม่ไหว" แม่ก็คิดว่าคงอึดอัดเหมือนทุกทีเพราะก่อนนอนแม่บังคับให้กินนมอีก ลูกคงกินเยอะไป เอาลูกขึ้นมานั่งกอดบอกว่าเดี๋ยวหม่ามี๊นั่งกอดเนอะ อาหารจะได้ย่อย…สักพักลูกถามหาพ่อ เมื่อไหร่แดดดี้จะมานอนคะหนูอยากให้ แดดดี้อุ้มหนูหลับ (แม่เริ่มเอะใจว่าลูกน่าจะเป็นหนักแล้วเพราะทุกครั้งเวลาที่เค้ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยจะเรียกหาพ่อ) บอกลูกว่าอดทนนะลูกพ่อทำงานเสร็จอาบน้ำจะมาอุ้มลูก….
ไม่ถึงนาที อัณณาพูดว่า "I have to go to hospital now!!" เพราะหัวใจหนูเต้นช้าลง แม่รู้แล้วว่าลูกไม่ไหวปกติเค้ากลัวหมอมาก รีบเรียกพ่อให้อุ้มอาโปไปรพ.เลย จากบ้านเราไป รพ.ปกติแค่3-5 นาทีเพราะใกล้มาก แต่คืนนั้นเหมือนไกลเหลือเกิน แม่อุ้มอัณณาขึ้นนอนเบาะหลังใจไม่ดีเพราะลูกปากเริ่มซีดเกือบม่วงแล้ว มือเท้าเย็นเฉียบ ระหว่างทางอัณณาบอกว่าหม่ามี๊นวดหัวใจให้หนูทีหนูไม่ไหว แม่จับไปที่หัวใจลูกที่ลูกบอกเต้นช้าลง แต่มันเหมือนจะทะลุออกจากอกลูก แม่กลัวลูกหัวใจวาย ปากก็ตะโกนเร่งพ่อให้เหยียบคันเร่ง มือก็คอยนวดหัวใจ นวดมือเท้าให้อุ่นขึ้นมา อาการลูกดาวน์เร็วมากมือเท้าเกร็ง แม่ให้พ่อบีบแตรและเหยียบคันเร่งอีก ท่องบทสวดทุกบทที่จำได้ หันไปบอกรักลูก หายใจนะลูก อยู่กับแม่นะลูก ดีที่ลูกเคยฝึกสมาธิเค้ามีสติมากเท่าที่เค้าจะมีได้ พยายามหายใจเข้าและเป่าออกปาก(จุดนี้แม่ยอมรับเลยว่าลูกแม่เก่งมากหนูพยายามช่วยตัวเอง) ไปถึงรพ.แม่ตะโกนเรียกเปลแต่พอเปิดประตูรถเห็นอาการลูก จนท.รีบคว้าตัววิ่งไปอย่างไวตะโกนกันโหวกเหวก แม่แทบจะยืนไม่ไหวหูอื้อ แต่ฝืนทำตามจนท.บอกกรอกประวัติอะไรเสร็จ ขอเข้าไปดูลูก
คุณหมอกุลีกุจอหันมาบอกแม่ว่า "คุณแม่คะ ชีพจรน้องอ่อนมากหมอจะให้ยาเพื่อดูว่าน้องตอบสนองยาไหมและต้องเฝ้าระวังใน ICU นะคะ " สิ้นเสียงหมอภาพต่างๆของลูกมันวนกลับในหัวตั้งแต่วันที่อุ้มอัณณาออกจาก รพ.ภาพที่เราอยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ดุลูก ในใจคิดโทษตัวเองเราไม่น่าใจร้ายเข้มงวดกับลูกเลยลูกยังเด็ก ถ้าเค้าเป็นอะไรไปเค้าจะรู้ไหมนะว่าแม่ทำเพราะรัก คิดไปถึงขั้นถ้าเค้าไปจริงๆเค้าจะกลัวแค่ไหนที่ไม่มีแม่อยู่ด้วย อยากเป็นแทนลูกอยากเอาชีวิตแม่แลกถ้าแลกได้ ทุกบทสวดที่นึกได้ ทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ บุญทุกบุญที่เคยทำที่นึกได้ขออย่างเดียวให้ อัณณาของแม่ปลอดภัย
เวลาผ่านไปช้าเหลือเกินที่แม่ทรมานอยู่ตรงนั้นเพื่อรอฟังว่าลูกปลอดภัยแล้ว….เสียงคุณหมอเดินมาบอกว่าน้องตอบสนองยานะคะคุณแม่ เดี๋ยวจะย้ายขึ้นไป ICU ตอนนี้พ้นวิกฤติแล้ว เหมือนเสียงสวรรค์ในใจแม่ สักพัก จนท.การเงินเดินมาแจ้งเรื่องค่าใช้จ่ายห้อง ICU บุญเหลือเกินที่เราพอมีเงินจ่ายให้ลูกได้ยังแอบคิดว่าถ้าไม่มีเงินสำรองกันเราจะทำกันยังไงวันละครึ่งแสน….ด้วยความที่อัณณาแข็งแรงมาตลอดไม่เคยเข้ารพ.เราจึงไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพให้ลูกไว้ หันไปบอกจนท.ยังไงก็ได้ค่ะคุณแม่โอเค นี่แหละหนาหลายคนบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่วินาทีนั้นเงินซื้อความสุขซื้อชีวิตลูกแม่ได้
รุ่งขึ้นได้คุยกับคุณหมอให้ความเห็นว่าเป็นอาการช๊อคเฉียบพลัน จากแพ้อาหาร แต่ก็แปลกที่ไม่มีผื่นแพ้ให้เห็น หรือเป็นจากสารพิษทาง รพ.ได้ส่งไปที่สถาบันพิษวิทยาก็ไม่พบสารพิษ อีกข้อสันนิฐานนึงคือ เป็นสารเสพติด(กัญชา ใบกระท่อม)ที่เปิดเสรีจนคนไร้จิตสำนึกบางกลุ่ม เอามาใส่ลงในอาหาร หรือ ขนมเพื่อให้ลูกค้าติดใจ โดยที่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นขนมเฉพาะ อาการลูกคล้ายคนที่เสพยาเกินขนาดมีอาการต่อระบบหายใจ และหัวใจโดยตรง ถ้าอาหารเป็นพิษต้องมีอาการต่อกระเพาะอาหารและมีไข้ ส่วนโดนสารพิษจะมีอาการอาเจียน แต่อัณณาไม่มีเลยอยู่ดีๆก็หายใจไม่ออกและช๊อค!!!
ทางพ่อเอกให้น้ำหนักไปทางสารเสพติดเพราะของอย่างเดียวที่อัณณากินไม่เหมือนคนอื่นคือ "ขนมโตเกียว" และแปลกที่พออัณณาไปซื้อร้านขอทำให้ใหม่ทั้งๆที่มีขนมทำไว้เยอะมาก พ่อยังมาเล่าว่าร้านเค้าดีนะเห็นเด็กซื้อเลยอยากทำร้อนๆให้ ตอนนี้น่าจะเป็นเพราะเค้ารู้แก่ใจว่าขนมเค้าใส่อะไร แต่ด้วยความที่อัณณาผอมและตัวเล็ก สารเลยออกฤทธิ์แรง คุณหมอแจ้งว่า ถ้าจะตรวจสารเสพติดต้องภายใน 4 ชม.หลังได้รับสาร เราจึงได้แค่สงสัยไม่อาจมีหลักฐานไปเอาผิดกับร้านได้!!
สุดท้ายนี้แม่ขอฝากเตือน แม่ๆทุกบ้าน เราคงต้องใช้ชีวิตยากกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่แค่ระวังว่าลูกจะกินอาหาร สะอาดปลอดภัยไหม บางบ้านต้องดูว่าลูกแพ้อะไรไหม เราต้องระวังให้ลึกไปอีกถึงว่า ร้านจะใส่สารเสพติดในอาหารด้วยรึเปล่า เพราะถึงแม้ใส่ในปริมาณน้อย ผู้ใหญ่อย่างเราทนไหว แต่ลูกๆเรา ๆไม่สามารถรู้ได้เลยว่าร่างกายเค้ารับได้แค่ไหนอย่างไร ตอนนี้แม่หลอนไปหมด กับการซื้ออาหาร ตามตลาดนัด อยากกินขนมต้องเลือกตามร้านที่ไว้ใจมีมาตรฐานเท่านั้น แพงหน่อยแม่ว่าแม่สบายใจกว่า
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณคุณหมอ จนท.ห้องฉุกเฉินที่ช่วยลูกแม่ ขอบคุณพ่อเอกที่ขับรถแบบไม่คิดชีวิต และขอบคุณอัณณานะลูกที่หนูมีสติมาก ถ้าหนูไม่ช่วยตัวเองด้วยอีกทางในวันนั้นแม่ก็ไม่รู้วันนี้แม่จะได้กอดหนูเหมือนวันนี้ไหม
พิมพ์ไปหัวใจยังสั่น น้ำตาไหลไม่หยุดไม่คิดเลยว่าชีวิตคนเราจะเปราะบางถึงเพียงนี้ รักกันไว้นะคะทุกครอบครัวเพราะเราไม่รู้เลยว่าเราจะได้กอดกันอย่างนี้ไปนานแค่ไหน สติสำคัญกับการดำเนินชีวิตจริงๆ
ขอบคุณ Pattamaporn Chandrabhaya