จากกรณณีเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.66 ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ศาลอาญามีนบุรี อนุมัติหมายจับที่จ.567/2566 เมื่อวันที่ 31 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ให้ดำเนินการจับกุมตัว เสี่ยสมทพ (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี ภูมิลำเนาเป็น ชาว อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ในความผิดคดีอาญาข้อหา “ฉ้อโกง” และ เนื่องจากอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลบหนี เหตุเกิดในท้องที่ สน.นิมิตรใหม่ หลังผู้เสียหาย เข้าแจ้งความ ช่วงปลายปี 65 ที่ผ่านมา
สืบเนื่องจาก นายพีท(นามสมมุติ) อายุ 50 ปี นักธุรกิจชาวต่างชาติ มอบหมายให้ ทนายความส่วนตัวชาวไทย เข้าแจ้งความที่ สน.นิมิตรใหม่ หลังถูก เสี่ยสมทพ ให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร อ้าง เป็นการลงงบหุ้นส่วนบริษัทเพื่อทำวีซ่า แต่ปรากฎว่าไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ก่อนขาดการติดต่อไป จึงเชื่อว่าเป็นการหลอกลวง
ภรรยาชาวไทย ของผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า สามีเป็นนักธุรกิจต้องเดินทาง ไปมาระหว่างไทยกับต่างประเทศบ่อยครั้ง กระทั่งพบ เสี่ยสมทพ แสดงตัวเป็นนักธุรกิจชาวไทยเข้ามาตีสนิท อ้างว่า เปิดบริษัทชื่อคล้ายขนมไทยโบราณ พ่วงคำว่า มหาชน สามารถทำ วีซ่า ให้แก่สามี แต่ต้องให้สามีนำชื่อมาเข้าในบริษัทในฐานะที่ปรึกษาหรือกรรมการ และ เสนอให้โอนเงินเข้าบัญชีบริษัทเพื่อให้มีวงเงินลงทุนในฐานะหุ้นส่วน เมื่อได้ วีซ่า แล้วจะโอนเงินคืนกลับให้ทั้งหมด
หลังจากนั้น เสี่ยสมทพ ขอให้โอนเงินเข้าบัญชีครั้งแรก 1 ล้านบาท แต่ต่อมาแจ้งว่ายังไม่พอ เพราะจำนวนไม่สอดคล้องกับงบลงทุน จึงโอนให้อีกครั้ง จำนวน 2 ล้านบาท รวมยอดทั้งหมด 3 ล้านบาท หลังจากนั้น แจ้งว่า เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นจะนำ วีซ่า ไปให้ แล้วจะไปส่งมอบให้ถึงที่ แต่หลังจากนั้นพบว่า เสี่ยปอ เริ่มติดต่อทางโทรศัพท์ยากขึ้น จนท้ายที่สุดไม่สามารถติดต่อได้ ก่อนตัดสินใจติดต่อผ่านทุกช่องทางออนไลน์ส่วนตัว แต่ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน จึงมั่นใจว่าถูกหลอก ก่อนมอบหมายทนายเข้าแจ้งความ ดำเนินคดี
“ส่วนตัวเชื่อว่า เสี่ยรายนี้ก่อเหตุหลอกนักธุรกิจมาแล้วหลายครั้ง เบื้องต้นพบว่า ทำทีเปิดธุรกิจอยู่ที่ จ.เชียงราย ซึ่งหากใครสามารถจับกุมหรือชี้เบาะแสจนนำไปสู่การจับกุม มีรางวัลให้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท”
ต่อมาผู้สื่อข่าว ได้สอบถามไปยัง นายกุ้ง(นามสมมุติ) อายุ 55 ปี พ่อค้าชาว จ.พิษณุโลก ผู้เสียหายอีกราย ระบุว่า ถูก เสี่ยสมทพ นำพระเครื่องกว่า 30 องค์ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท เอาไปอ้างว่าจะช่วยนำไปปล่อยเช่าต่อ แต่ต่อมากลับอ้างว่าประสบปัญหาการเงินเนื่องจากโควิด ก่อนนำรถยนต์ เมอร์ซิเดสเบนซ์ รุ่นปี 2000 มาแลกเปลี่ยน แต่รถคันดังกล่าวกลับไม่สามารถขับตามปกติได้ ต้องซ่อมแซมหลายครั้ง ซ้ำ พอจะแลกรถเป็นการใช้หนี้ค้างของเสี่ยสมทพ รถกลับโอนไม่ได้ เพราะชื่อเจ้าของรถเป็นบริษัทชื่อคล้ายขนมโบราณ แต่เมื่อไปดูทะเบียนจดจัดตั้งบริษัทกลับพบว่าไม่มีข้อมูลดำเนินการแบบบริษัททั่วไป แถมทั้งบริษัทมีคนแค่ 3 คน เท่านั้น
นอกจากนี้ยังพบว่า มีกลุ่มผู้เสียหาย ถูกเสี่ยสมทพ หลอกให้ทำรายการเพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ให้ผู้เสียหายสำรองจ่ายไปก่อน จนเป็นหนี้กว่า 8 แสนบาท
ล่าสุด ตำรวจ สน.นิมิตรใหม่ ประสานข้อมูลหมายจับไปยัง ภ.จว.เชียงราย เพื่อเข้าควบคุมตัว เสี่ยสมทพ พบว่า เปิดทำธุรกิจอยู่ในชุมชนย่านพักอาศัยใน อ.เมืองเชียงราย เพิ่งจัดงานเป็นสนามกีฬาแนวเอ็กซ์ตรีม พร้อมเชิญคนใหญ่โตวงการข้าราชการมาร่วมแสดงความยินดีจำนวนมาก
แต่ต่อมา ได้ขับรถหายออกจากที่พักไปแล้วคาดว่า อาจรู้ตัวว่าโดนออกหมายจับอย่างไรก็ตาม มีการส่งหมายจับ เสี่ยสมทพไปยัง กองบัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งถึง กองปราบ และ ตำรวจทางหลวง แล้ว เนื่องจากผู้ต้องหาอาจใช้รถเพื่อเดินทางหลบหนีไปยังเขตติดต่อประเทศเพื่อนบ้านหรือไปกบดานอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งหากผู้ใดพบว่า เบาะแสเสี่ยลวงโลก ให้แจ้ง 191 เพราะเชื่อว่า มีผู้เสียหายถูกหลอกอีกหลายราย