ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากขณะนี้ จากกรณี "หยก" เยาวชนอายุ 15 ปี นักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งตกเป็นจำเลยในคดี ม.112 ได้โพสต์ข้อความถูกไล่ออกจากโรงเรียน จนต่อมาทาง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจง "น้องหยก" ไม่มามอบตัวตามกำหนด จึงไม่มีสถานะเป็นนักเรียน พร้อมยืนยันไม่เคยปฏิเสธการรับ นักเรียนเข้าเรียน ดูแลช่วยเหลือเต็มกำลังความสามารถ ถึงแม้นักเรียนไม่ให้ความร่วมมือปรับปรุงพฤติกรรม ตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ล่าสุด ทางด้าน "รุ้ง ปนัสยา" แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Panusaya Sithijirawattanakul ระบุว่า
พอเรากลับมาที่ไทย ตอนนี้รู้แล้วว่ายูนิฟอร์มไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุผลทางการเรียน แต่ก็ยังหนีมันไม่ได้ ก็ยังเรียนอยู่ที่นั่นและจะเรียนต่อจนจบ ก็จบที่ก้มหน้าก้มตายอมรับมันแหละ การแสดงออกว่าเราไม่อยากใส่ชุดนักเรียนในตอนนั้นคือการใส่ชุดพละทุกวันแทน และรุ้งอายุ 15 ก็ทำไปแค่นั้น ไม่ได้เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ แต่หยกอายุ 15 ในวันนี้เอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์อยู่ว่าใส่ชุดอะไรก็ตั้งใจเรียนได้ โดยการใส่ชุดไปรเวทเดินเข้าไปเรียน
แต่เพราะเหตุการณ์นี้หยกเลยกลายเป็นจำเลยสังคม กลายเป็นเด็กก้าวร้าวในสายตาคนมอง เราอยากให้คนไม่ลืมว่านี่คือเด็กอายุ 15 ที่กำลังแสดงออกในแบบที่ตัวเองคิด เราว่าบางอย่างจำเป็นต้องมองผ่านมันไปให้ลึกกว่านี้ ให้ลึกพอที่จะผ่านกำแพงอคติส่วนตัวและมองเห็นสิ่งที่หยกต้องการสื่อสารจริง ๆ มันก็คงยากสำหรับผู้ใหญ่เวลาเห็นเด็กทำพฤติกรรมแบบนี้ธงในใจก็จะลอยขึ้นมาว่านี่คือเด็กก้าวร้าว กากบาทสีแดงตัวใหญ่ ๆ ประทับไปที่ภาพหยกปีนรั้วโรงเรียน แต่เอาจริงนะ ไม่รู้สึกเล็ก ๆ บ้างหรอว่าเด็กคนนั้นกำลังพยายามอย่างมากที่จะไปเข้าเรียน อย่างที่เด็กดีควรจะทำ แต่ต้องกลายเป็นเด็กที่ดูไม่ดี ต้องปีนรั้วเข้าโรงเรียนเพราะบุคลากรในโรงเรียนไม่ต้องการ ครูปกครองปกติต้องวิ่งตามเด็กปีนรั้วหนีโรงเรียนกัน แต่นี่หยกมันปีนเข้าไปเรียนน
สรุปคือ น้องมันอยากเรียนเหมือนเด็กปกติ แต่ไม่ต้องการใส่ชุดนักเรียนด้วยเหตุผลที่สังคมเราก็คุยกันมาสักพักใหญ่มากแล้ว การเปลี่ยนมาใส่ชุดไปรเวทและได้เพิ่มการฝึกดูแลบุคลิกมันก็เป็นเรื่องดี มันเป็นเรื่องจำเป็นเลยแหละ ผู้ใหญ่ทุกคนโตมาก็รู้ว่าจำเป็น งั้นทำไมเราไม่ฝึกกันตั้งแต่เด็กไปเลยล่ะ
ที่มา Panusaya Sithijirawattanakul