อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาเผยข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ เกี่ยวกับ "โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก" (Bell's Palsy) ระบุว่า
โดยทางด้าน อาจารย์เจษฎ์ เผยว่า มีข่าวน่าตกใจ กรณีที่ "คุณมดดำ คชาภา" พิธีกรชื่อดัง ได้แอดมิตเข้าโรงพยาบาล อันเนื่องจากเกิดอาการปากเบี้ยวขณะเล่าข่าวในรายการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลพวงมาจากความเครียดเรื่องงาน และพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ หน้าเบี้ยวครึ่งซีก จากการอักเสบของเส้นประสาทเส้นที่ 7 และขณะนี้ได้รับอนุญาตให้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน โดยต้องออกกำลังทำกายภาพ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และพักผ่อนให้เพียงพอ จนอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว สามารถพูดได้ปกติ คาดว่าใช้เวลารักษา 2 อาทิตย์ ถึง 2 เดือน กล้ามเนื้อใบหน้าจะกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ
ขณะที่ส่งกำลังใจให้คุณมดดำหายเร็วๆ ก็ขอเอาเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ เป็นเกร็ดความรู้ประกอบกันหน่อย ถึงโรคที่ชื่อว่า Bell’s palsy หรือ โรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก ที่คาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของอาการคุณมดดำในครั้งนี้
โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก Bell’s Palsy เกิดจากอะไร
- Bell’s palsy เป็นโรคที่พบได้ทุกเพศทุกวัย มักเกิดในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด นอกจากนี้ยังพบบ่อยในสตรีตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV
- Bell’s Palsy เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งเป็นเส้นประสาทสมองที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อของใบหน้าทั้งด้านบนและด้านล่าง เรียกได้ว่าเป็น เส้นประสาทใบหน้า (facial nerve)
- เพราะฉะนั้น เมื่อเวลามีความผิดปกติกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อาจจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงไป , หลับตาไม่สนิทข้างหนึ่ง , ยักคิ้วไม่ได้ , มุมปากตก ม เวลาดื่มน้ำแล้วน้ำไหลออกจากมุมปากด้านหนึ่ง
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ยังเกี่ยวข้องกับการรับรสด้วย เพราะฉะนั้นคนไข้อาจจะมีการสูญเสียการรับรสของลิ้น ด้านเดียวกับของใบหน้าที่อ่อนแรงไป
- คนไข้อาจจะได้ยินเสียงดังกว่าปกติ จากหูข้างเดียวกับใบหน้าที่อ่อนแรงนั้น เนื่องจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 มันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ช่วยลดความดังของเสียงที่จะเข้ามาในหูข้างนั้นด้วย
- Bell’s Palsy เกิดได้จากหลายสาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน บางทีอาจจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือจากเนื้องอก หรือจากสาเหตุอื่น ๆ จนทำให้มีการอักเสบของตัวเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และมีการบวมของเส้นประสาท
- สมมุติฐานที่เป็นที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในปัจจุบัน คือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีโอกาสเป็นได้หลายตัว เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส และไวรัสอื่น ๆ
- คาดว่าไวรัส เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสนั้น เข้าไปซ่อนที่ปมประสาท (ตามธรรมชาติของไวรัสนี้) และถ้าเกิดร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลง ไวรัสก็ออกมาทำงานและส่งผลต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ได้ (และ ถ้าไวรัสนี้ไปส่งผลต่อเส้นประสาทไขสันหลัง ก็อาจจะทำให้เกิดโรคงูสวัด เกิดตุ่มน้ำใส ผื่นคันตามแนวของผิวหนังที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทเส้นนั้นๆ)
- ผู้ป่วย Bell’s Palsy จะมีอาการ ยักคิ้วไม่ขึ้น , หลับตาไม่สนิท เปลือกตาล่างเปิดออก , ปากเบี้ยว มุมปากตก พูดไม่ชัด , ดื่มน้ำจะมีน้ำไหลออกจากมุมปาก , ขยับใบหน้าซีกนั้นไม่ได้ , บางคนรู้สึกหน้าบวมหรือชาใบหน้าครึ่งซีก และอาจมีอาการลิ้นครึ่งซีกชา และรับรสไม่ได้ , อาจมีอาการปวดหูหรือได้ยินเสียงดังมากผิดปรกติ ในระยะแรกที่มีอาการ , ไม่มีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อแขนขา
- โรค Bell’s Palsy นี้ เป็นความผิดปกติที่ตัวเส้นประสาท ไม่ใช่ที่เนื้อสมอง ไม่ใช่โรคหลอดเลือดสมอง ที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตขึ้น ซึ่งนอกจากที่อาจจะมีใบหน้าอ่อนแรงแล้ว ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอาจจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง มีอาการชาที่แขนขา มีอาการพูดไม่ชัด อาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งแพทย์จะตรวจร่างกายทางระบบประสาทโดยละเอียด เพื่อแยกว่าคนไข้เป็นโรค Bell หรือว่าโรคหลอดเลือดสมอง
- ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระยะของโรค : 80% ของผู้ป่วยมักจะหายดีในเวลา 4-6 สัปดาห์ , 10% ของผู้ป่วยจะมีอาการเบี้ยวที่ใบหน้าทั้งสองข้าง , 7% ของผู้ป่วยอาจเป็นซ้ำได้
- มีทั้งการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ การให้ยาฆ่าเชื้อไวรัส การกายภาพบำบัด ด้วยการฝึกหรือกระตุ้นให้กล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงได้ทำงาน เพื่อรอการฟื้นตัวของเส้นประสาท
- โดยการกายภาพบำบัดสามารถทำได้ดังนี้
+ ประคบอุ่นบริเวณใบหน้าซีกที่มีอาการ เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า
+ กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีอาการอ่อนแรงด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีการหดคลายตัวเป็นการชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ
+ การนวดใบหน้า เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีการหดคลายตัวเป็นการชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ
+ การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรง
- ตามหลักฐานโดยรวมทางการแพทย์แล้วก ยังไม่ได้มีข้อสนับสนุนชัดเจนว่า การไปฝังเข็มจะมีประโยชน์ หรือว่าไม่มีประโยชน์กันแน่
- มีคนเป็นโรค Bell’s Palsy กันเยอะ ตามข้อมูลคือ ประมาณ 1 ใน 5,000 คนต่อปี
- ส่วนการป้องกัน ถ้าเราเชื่อว่าไวรัสจะออกมาตอนที่ร่างกายอ่อนแอ ก็ต้องสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรง