"คิง ก่อนบ่าย" เคลื่อนไหว หลังโหวตนายกฯ ลั่น ด่าเขา แล้วหวังให้เขามาเลือกเรา

วานนี้ (13 ก.ค. 2566) เป็นวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของไทย ครั้งที่ 1 ผลปรากฎว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้รับเสียงสนับสนุน 324 เสียง หรือเห็นชอบ รวม 324 เสียง ส่วนผู้ที่ไม่สนับสนุน หรือ ไม่เห็นชอบ มีการออกเสียงรวม 182 เสียง และผู้ที่งดออกเสียง มีด้วยกัน 199 เสียง และต้องรอโหวตใหม่อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.2566 ที่จะถึงนี้ 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ทางด้าน คิง ก่อนบ่าย ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการโพสต์ข้อความระบุ ถึงเรื่องราวดังกล่าว 

ด่าเขา แล้วหวังให้เขาจะมาเลือกเรา ผมว่าย้อนแย้งมากนะ

เรามายอมรับความจริงกันเถอะ ลดทิฐิลงมาบ้าง อันไหนถอยได้ถอย อันไหนยอมได้ยอม

ปัญหาปากท้องชาวบ้านสำคัญ​สุด ความยากจน มันรอไม่ได้ เลิกขัดแย้งกันเถอะครับ ไม่ว่าซ้ายหรือขวา

อย่าเอาปัญหาประชาชน​มาเป็นตัวประกัน

เลิกสุดโต่งกันทุกฝ่าย แล้วเคารพซึ่งกันและกัน แล้วเราจะฝ่าฟันปัญหาไปได้ครับ

ล่าสุด เจ้าตัวได้มีการลบโพสต์ดังกล่าวลงไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ คิง ก่อนบ่าย ยังได้โพสต์ข้อความว่า 

ทำไมผมถึงบอกว่าคนประจวบอยากได้นายกชื่อพิธา

ก็ผลคะแนนเป็นที่ประจักษ์​อยู่แล้ว เขต 1,2,3 พรรคก้าวไกล ได้คะแนนแต่ละเขตสี่หมื่นกว่าคะแนน มากกว่าคะแนน ส.ส.อีก หรือมีใครจะเถียง

เวลาลงพื้นที่หาเสียง ส่วนใหญ่พูดกับผมว่า ชอบคิงนะแต่เสียดายที่ลงพรรคนี้

ความรู้​สึกผม ผมเก็บเอาไว้ เพราะผมเคารพ การตัดสินใจของคนเลือก

หน้าที่ผมคือจะต้องทำยังไงให้เขาเห็นความตั้งใจของผมให้ได้

ทุกครั้งที่ผมหาเสียง ผมบอกกับทุกคนว่า ถ้าผมไม่หาเสียงให้พรรค ผมก็คงเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ฝากพิจารณา​ด้วยครับ

ผมเดินหาเสียง ผมไม่เคยมองว่าผู้สมัครพรรคก้าวไกลเป็นคู่แข่งเลย ผมมองถึงแค่ว่าผมจะล้มแชมป์เก่าอย่างพี่ชายของผมท่าน ส.ส.มนตรี ปาน้อย​นนท์ เพื่อเอาตำแหน่ง ส.ส.มาไว้ที่อำเภอเมืองประจวบคีรี​ขันธ์​บ้านเกิดผมแค่นั้น เพราะไม่มี ส.ส.มา 22 ปีแล้ว

แต่พอผลการเลือกตั้งออกมา คะแนนที่ผมได้คือ 6,040 คะแนน อันดับ 5 คะแนนพรรคได้ 1 พันกว่าคะแนน

แต่ผู้สมัครพรรคก้าวไกล ได้ 18,000 กว่าคะแนน เป็นอันดับที่ 3 และบัญชีรายชื่อได้อันดับที่ 1 คะแนนได้ 40,000 กว่าคะแนน

เราได้แต่อุทานว่า เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้น

และเมื่อดูภาพรวมทั่วประเทศมันก็ชัดเจนขึ้นว่าประชาชนอยากเปลี่ยน อยากได้คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่วังวนเดิม

ส่วนตัวผม ผมยอมรับความพ่ายแพ้ ยอมรับคำดูถูก คำสบถต่างๆนานา

แต่ชีวิตผม ผมเลือกแล้ว ในเมื่อเราชอบการเมือง เราก็ต้องเข้าไปสัมผัส เพื่อจะเรียนรู้มัน ดีกว่าเป็นอีแอบ แล้วเราก็พิสูจน์​ตัวเองให้ประชาชนเห็นให้ได้ว่า เรามีความตั้งใจ​จริงๆ

ณ วันนี้ทำให้เราได้เรียนรู้​แล้วว่า เส้นทางการเมือง ไม่ใช่ง่ายๆ

กว่าจะได้เป็นผู้สมัคร

กว่าจะได้เป็น ส.ส.

กว่าจะได้เป็น นายก

แต่เชื่อผมเถอะ ตอนช่วงหาเสียงอ่ะ จะมีแต่คนเข้ามาหา ดูแล และเรียกเราว่าท่าน