กลายเป็นเรื่องราวที่สายเที่ยวคาเฟ่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาโพสตเล่าประสบการณ์สุดเซ็ง หลังได้เข้าไปใช้บริการคาเฟ่ร้านหนึ่งย่านนานา และได้มาสั่งเค้กมากินราคาชิ้นละ 330 บาท ก่อนแอบไปสืบเจอรับมาจากร้านดัง
ทางด้านผู้โพสต์เล่าว่า เจ้าของโพสต์พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ก่อนที่จะสั่งบลูเบอร์รี่ชีสพายมา 3 ชิ้น ซึ่งเข้าใจว่าด้วยทำเลและที่คุณภาพของร้าน ราคาของเค้กน่าจะไม่เกินชิ้นละ 220 บาท กระทั่งบิลมาถึงกับอึ้ง เพราะราคาเค้กตกชิ้นละ 330 บาท รวม 3 ชิ้น เป็นเงินทั้งหมด 990 บาท ส่วนเครื่องดื่มที่สั่งไปทั้งหมด 3 แก้ว ตกแก้วละ 150 บาท ซึ่งเป็นราคาปกติ ตรงนี้เธอไม่ได้ตกใจมากนัก แต่พอคิดราคารวมบวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ทำให้การมาคาเฟ่ครั้งนี้เธอหมดเงินไป 1,445 บาท
เรื่องราวนี้ถูกแชร์ออกไป ชาวเน็ตเห็นแบบนี้ก็ต่างพูดกันไปในทางเดียวว่า ราคาแพงเกินไป ต่อให้อยู่ต่างประเทศ เค้กชิ้นหนึ่งก็ไม่แพงขนาดนี้ ราคานี้คือระดับนั่งร้านหรูที่นั่นแล้ว หรือถ้าโรงแรม 5 ดาว หรือกระทั่งร้านกาแฟดังอย่าง Starbucks ในไทยก็ไม่แพงขนาดนี้
ในขณะที่ชาวเน็ตรายหนึ่งได้เข้ามาชี้เป้าว่า ในเมนูของร้านไม่มีการระบุราคาเค้ก และเมื่อสั่งเค้ก ทางร้านจะไปเอาเค้กจากอีกร้านมาให้ และเมื่อมีคนไปเปิดทางเพจของร้านที่คาเฟ่แห่งนี้ไปรับเค้กมา ก็พบว่าร้านดังกล่าวขายแค่ชิ้นละ 75 บาท แต่คาเฟ่แห่งนี้การเอามาขายต่อและคิดเพิ่มเป็นชิ้นละ 330 บาท
นอกจากนี้ บางคนยังบอกว่า ในฐานะที่เป็นคนทำเค้กขาย ต่อให้ใช้วัตถุดิบราคาสูง ใช้ของจากเมืองนอก ราคาบลูเบอร์รี่ชีสพายชิ้นละ 330 บาทก็ถือว่าแพงเกินไป ราคานี้สามารถขายเป็นต่อปอนด์ได้เลย อีกทั้งยังมีคนบอกว่า ร้านนี้มีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่มีการให้เลขผู้เสียภาษี แบบนี้สามารถฟ้องร้องต่อกรมสรรพากรได้เลย
อย่างไรก็ตาม ด้านเจ้าของโพสต์ได้มาแจ้งเพิ่มเติมว่า ตนไปทานกาแฟที่ร้านในย่านนานา และเห็นเมนูระบุลำดับเลข 119-129 จึงคิดว่านั่นคือราคาเค้ก และย่านนั้นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เมื่อเธอเห็นราคาเค้กชิ้นละ 330 บาท ก็เลยเรียกพนักงานมาดู และพนักงานก็ยืนยันว่า ราคานี้ถูกแล้ว ซึ่งตนเพิ่งสังเกตว่า ไม่มีโต๊ะไหนที่สั่งเค้ก มีแค่โต๊ะของตนที่พนักงานเชียร์ ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ไปคือไปนั่งทานกาแฟและสูบบุหรี่ แต่ไม่มีใครสั่งเบเกอรี่