คืบหน้าคดีตำรวจรีดเงินแรงงานต่างด้าว จากรรณีที่เพจเฟซบุ๊ก กล้าที่จะก้าว เปิดเผยว่า มีหนังสือสั่งเด้งตำรวจรีดเงินต่างด้าวกว่า 6 ปีแล้ว โดยรายละเอียดในเอกสารระบุว่า ตามหนังสือกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ที่ 0016.42/868 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2566 เรื่องรายงานผลการตรวจสอบ กรณีปรากฎสื่อสังคมออนไลน์ลงข่าว “ฉาวอีก อ้างเป็นตำรวจ เรียกเงินแรงงานเมียนมา ขู่จนต้องควักแบงค์พันให้ ” วันที่ 13 สิงหาคม 2566 มีใจความสำคัญว่า มีชายฉกรรจ์ จำนวน 2 คน แต่งกายคล้ายตำรวจ อ้างตนเป็นตำรวจเข้ามาเรียกเก็บเงินร้านข้าวต้ม หน้าหมู่บ้านอัญชลี ทราบชื่อร้านภายหลังว่า “ร้านข้าวต้มปลา นายรัก” ตั้งอยู่ที่ ซอยนนทบุรี 842 ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงยินยอมจ่ายเงินให้บุคคลทั้ง 2 ดังกล่าวจำนวน 1,000 บาท
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ชายลักษณะคล้ายเจ้าหน้าที่เป็นตำรวจ สังกัดกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร จังหวัดนนทบุรี ทราบชื่อว่า ร้อยตำรวจตรี สมภพ ตำแหน่งรองสารวัตรป้องกันปราบปรามฯ ส่วนชายอีกคนหนึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นเพียงประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นเพื่อนกับ ร้อยตำรวจตรี สมภพฯ ชวนไปเป็นเพื่อน เพื่อเข้าไปตรวจสอบต่างด้าว
ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2563 ข้อ 6 (2) จึงให้ ร้อยตำรวจตรี สมภพ รองสารวัตรป้องกันปราบปราม กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี โดยให้ขาดจากต้นสังกัดเดิม โดยมอบหมายให้รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ที่รับผิดชอบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้ควบคุม กำกับ ดูแลการปฏิบัติ ข้าราชการตำรวจข้างต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
สืบเนื่องจาก นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกลุ่มกล้าที่จะก้าว ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จ หลังได้รับการร้องเรียนจากหญิงแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ซึ่งทำงานอยู่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ,นนทบรี ว่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีชายฉกรรจ์ 2 คน เข้ามาที่ร้านขายอาหารที่ตนทำงานอยู่ โดยอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาขอเก็บเงินค่าดูแลรายเดือน เดือนละ 500 บาท ซึ่งตนได้ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว เพราะตนได้ไปกู้เงินมาเกือบ 3 หมื่นบาท
เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นขอเอกสารการทำงานในประเทศไทยให้ถูกต้องแล้ว ทำให้ชายคนที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจเกิดความไม่พอใจ พร้อมกับขอตรวจเอกสารอนุญาตทำงาน และพาสปอร์ตของตน ซึ่งพบว่ายังไม่หมดอายุ แต่ถูกชายคนดังกล่าวอ้างว่าดูไม่เข้าใจจะขอพาตนไปตรวจสอบที่โรงพักเพียงอย่างเดียว ตนจึงโทรศัพท์ติดต่อให้คุยกับนายหน้าซึ่ง เป็นคนที่ทำเรื่องเอกสารให้กับตน ซึ่งนายหน้าได้อธิบายให้กับชายดังกล่าวฟังว่า เอกสารยังไม่หมดอายุและขออนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ขอบคุณเพจเฟซบุ๊ก กล้าที่จะก้าว