เรียกได้ว่าสมการรอคอยอย่างมาก ร้อนแรงตั้งแต่ EP.แรกแบบทำลายทุกสถิติ สำหรับ พรหมลิขิต ภาคต่อ บุพเพสันนิวาส ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ พุดตาน ตัวละครที่เป็นหลานห่างๆ ของสิตางค์ (แม่ของเกศสุรางค์) ในวัย 20 ปีที่มีอาชีพนักจัดสวน ได้เจอหีบโบราณและสมุดข่อยจากคนงานที่ขุดได้ ซึ่งเป็นมนต์กฤษณะกาลีที่ถูกฝังเอาไว้ เมื่อเธอแตะมันทำให้เธอได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต
อ่านข่าวที่เกี่ยว : EP.แรก ทำลายทุกสถิติ เรื่องย่อละคร พรหมลิขิต เฉลยดราม่าใช้พระ - นางคุ้มเกิน
โดยมีตัวละครที่หลายคนสนใจก็คือ ท้าวทองกีบม้า หรือ มารีอา กียูมาร์ เดอ ปีญา (Maria Guyomar de Pinha) แต่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ มารี กีมาร์ หรือ มารี ตองกีมาร์ ราชินีขนมไทยใน "บุพเพสันนิวาส" ที่แม่การะเกดเรียกติดปากว่า "แม่มะลิ" ซึ่งรับบทโดยนักแสดงสาวลูกครึ่ง ไทย จีน อังกฤษ "ซูซี่-สุษิรา แน่นหนา" ที่ในเนื้อหาละครระบุว่าเธอเป็นที่หมายปองของ พระเจ้าเสือ ที่รับบทโดย ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล
นั่นทำให้แฟนละครสนใจก็คือ ประวัติสมเด็จพระเจ้าเสือ ที่บางคนอาจจะยังสงสัยอยู่บ้างว่า เป็นพระราชโอรสใคร? ซึ่งการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนส่วนใหญ่ และหลักฐานจำนวนมากของไทยมักเสนอไปในทางเดียวกันว่า พระองค์เป็นโอรสลับของ "สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"
ทว่า รศ.(พิเศษ) นพ. เอกชัย โควาวิสารัช คุณหมอนักเขียนผู้สนใจประวัติศาสตร์เสนอว่า "สมเด็จพระเจ้าเสือเป็นพระราชโอรสจริงของสมเด็จพระเพทราชา" ในผลงานที่ชื่อว่า ชันสูตรประวัติศาสตร์ ไขปริศนาพระนารายณ์ ซึ่งที่ผ่านมา สมมติฐานเรื่องสมเด็จพระเจ้าเสือเป็นพระราชโอรสใคร จำแนกเป็น 3 แนวทางคือ
1. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช-พระราชบิดา , นางลาว พระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่-พระราชมารดา
2. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช-พระราชบิดา เจ้าจอมบุญ-พระราชมารดา
3. สมเด็จพระเพทราชา-พระราชบิดา ส่วนพระราชมารดา ไม่ปรากฏนาม
ทีนี้มาดูการวิเคราะห์ของ นพ.เอกชัย ที่มีข้อมูลเอกสารต่างๆ เป็นที่อ้างอิงกันในแต่ละสมมติฐานที่เราสรุปย่อมากัน
เริ่มจากสมมติฐานยอดนิยม สมมติฐานที่ 1. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช-พระราชบิดา นางลาว พระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่-พระราชมารดา
แม้พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่ทรงรับนางลาวที่ทรงครรภ์กับพระองค์เป็นพระสนมเพราะทรงละอายต่อพระสนมทั้งปวง แต่พระราชทานให้พระเพทราชาไปเลี้ยงดู และครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระชินราช พระชินสีห์ที่เมืองพิษณุโลก นางลาวที่มีครรภ์ก็ตามเสด็จและคลอดบุตรชายชื่อ เดื่อ ซึ่งก็คือสมเด็จพระเจ้าเสือในเวลาต่อมา
นพ.เอกชัย วิเคราะห์ว่า "สมเด็จพระนารายณ์พระราชทานนางลาวแก่พระเพทราชา เพราะทรงละอายต่อพระสนมทั้งปวง" เป็นเรื่องไม่สมเหตุผล เพราะพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าชีวิต เป็นกฎหมาย ไม่ว่าพระสนมจะเป็นชาวต่างชาติใด ๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าละอาย นอกจากนี้ นางลาวที่ครรภ์แก่ ไม่น่าจะได้ติดตามการเสด็จดังกล่าว เพราะถ้ามีการคลอดระหว่างทางจะทำให้กระบวนเสด็จวุ่นวาย
นอกจากนี้ หลักฐานของนายแพทย์ประจำคณะราชทูตเยอรมันที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2233 ต้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเขียนว่า สมเด็จพระเจ้าเสือพระมหาอุปราชมีพระชนม์ 20 พรรษา แสดงว่าพระองค์ประสูติ พ.ศ. 2213 แต่เมืองเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2205 หากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีสัมพันธ์กับพระธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่จริง สมเด็จพระเจ้าเสือก็ควรทรงพระราชสมภพในช่วง พ.ศ. 2205-06 ไม่น่าจะเลยไปถึง พ.ศ. 2213
ส่วนที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล บันทึกว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเคยรับสั่งกับสมเด็จพระเจ้าเสือครั้งเป็นนายเดื่อมหาดเล็ก เมื่อประทับหน้าพระฉาย (กระจก) คู่กับพระองค์ว่าเห็นเป็นอย่างไร นายเดื่อกราบทูลว่ารูปพรรณทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน สมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ทรงเมตตาพระราชทานเงินทองและข้าวของจำนวนมาก ฯลฯ
ประเด็นนี้เป็นรูปลักษณ์ภายนอก และคงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เราเคยเห็นกันนั้น ก็เป็นการเขียนในหลายวาระ ส่วนพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าเสือกลับไม่เคยปรากฏเลย
สมมติฐานที่ 2 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช-พระราชบิดา เจ้าจอมบุญ-พระราชมารดา คำให้การขุนหลวงหาวัด บันทึกว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงไม่ยอมรับเจ้าจอมสมบุญซึ่งเป็นคนโปรดของพระองค์ที่มีครรภ์อยู่ โดยทรงยกให้พระเพทราชา (เมื่อครั้งทรงเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์) แต่ไม่ทำลายครรภ์ เพราะเหตุที่พระศรีศิลป์กุมารซึ่งเป็นพระโอรสของเชษฐา (ที่ไม่ได้เกิดจากพระมเหสี) เคยเป็นขบถต่อพระองค์ และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงขอให้ได้พระราชโอรสอันเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสี ทั้งตรัสกับพระสนมทั้งปวงว่าใครมีครรภ์จะทำลาย
นพ.เอกชัยอธิบายว่า ปกติการสืบราชสมบัติในสมัยอยุธยา จะสืบต่อทางพระราชอนุชาก่อน หากไม่มีจึงสืบทางพระราชโอรส และก็ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระมเหสีเท่านั้นจึงมีสิทธิในราชบัลลังก์ เช่น รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาทองก็ทรงมอบราชสมบัติให้เจ้าฟ้าชัยซึ่งมิได้ประสูติแต่พระมเหสี การทำลายครรภ์อันเกิดแต่พระสนมจึงไม่มีเหตุผลที่สมควร นอกจากนี้ยังอาจเป็นความคลาดเคลื่อนจาก คำให้การขุนหลวงหาวัด เพราะเป็นการแปลจากภาษารามัญ จึงอาจเกิดความเข้าใจผิดระหว่างภาษาได้
และสมมติฐานที่ 3. สมเด็จพระเพทราชา-พระราชบิดา ส่วนพระราชมารดา ไม่ปรากฏนาม เป็นสมมติฐานที่อ้างอิงจากเอกสารชั้นต้นของชาวต่างชาติที่เดินทางมากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซ ถึงผู้อำนวยการคณะกรรมการต่างประเทศ ลงวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1703, จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ฯลฯ โดยบันทึกไปในแนวทางเดียวกันว่า "สมเด็จพระเจ้าเสือทรงเป็นพระราชโอรสจริงของสมเด็จพระเพทราชา"
นอกจากนี้หากพิจารณา พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล ตอนหนึ่งบันทึกเหตุการณ์เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระประชวรหนัก พระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ไปเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลว่า ถ้าพระองค์สวรรคตจะถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมพระราชวังหลัง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชกริ้วมาก ถึงกับตรัสว่าขอให้พระองค์มีพระชนมชีพอีก 7 วัน จะขอดูหน้ากบฏสองคนพ่อลูก นพ.เอกชัยท้วงว่า หากสมเด็จพระเจ้าเสือเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์น่าจะทรงตัดพ้อ หรือตำหนิว่าเป็นทรพีที่ฆ่าทรพาผู้เป็นพ่อเช่นในรามเกียรติ์มากกว่า
ส่วนที่มีข้อคัดค้านว่า พระเพทราชามิใช่พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าเสือ เพราะเมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงพระประชวรใกล้สวรรคต มิได้ทรงยกราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าเสือที่เป็นพระราชโอรสพระองค์โต แต่กลับทรงยกให้เจ้าฟ้าพระยอดขวัญ ซึ่งเป็นพระราชโอรสซึ่งประสูติแต่กรมหลวงโยธาทิพ
ประเด็นนี้ นพ.เอกชัยอธิบายว่า สมัยกรุงศรีอยุธยามีอยู่หลายครั้งที่พระราชสมบัติมิได้แก่พระราชโอรสพระองค์โต เช่น สมเด็จพระเจ้าท้ายสระทรงยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าอภัย แทนที่จะเป็นเจ้าฟ้านเรนทรพระราชโอรสองค์โต, สมเด็จพระเจ้าบรมโกศก็ทรงตั้งกรมขุนพรพินิต พระราชโอรสองค์เล็กสุดเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเพื่อเป็นองค์รัชทายาท นอกจากนี้เจ้าฟ้าพระยอดขวัญยังเป็นพระราชโอรสที่ประสูติภายใต้พระเศวตฉัตร (พระราชบิดาทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว) หรือเป็นความเสน่หาที่สมเด็จพระเพทราชามีต่อเจ้าฟ้าพระยอดขวัญ
อย่างไรก็ตาม กรณีคลาสสิกที่เคยเชื่อกันว่า สมเด็จพระเจ้าเสือ เป็นพระราชโอรสลับของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มานานก็เริ่มถูกท้าทายว่า พระองค์เป็นพระราชโอรสจริงของ สมเด็จพระเพทราชา และอาจมีประเด็นอื่นต่อไปในอนาคต เมื่อมีการค้นคว้าใหม่ทางวิชาการเกิดขึ้น
ข้อมูลจาก ศิลปวัฒนธรรม