นายจ้างร้านอารหารญี่ปุ่นดังว่าไง! ตร.เผย ผลตรวจลูกจ้างสาวไม่พบสารเสพติด

 ความคืบหน้าคดีที่ลูกจ้างสาวร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง อายุ 21 ปี เข้าพบ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เพื่อร้องเอาผิด "นายจ้าง" เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น เนื่องจากได้ทำร้ายร่างกายและใช้แรงงานอย่างหนักโดยไม่ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม แต่ถูกเจ้าของร้านแจ้งความกลับฐานลักทรัพย์ และยังกล่าวหาว่าลูกจ้างสาวเสพยาเสพติดจนหลอน จนมีอาการจิตเวชและทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่การถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ทำให้นายเอกภพ ต้องพาลูกจ้างสาวร้านญี่ปุ่นนำเส้นผมส่งตรวจหาสารเสพติดที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์

ล่าสุด วันที่ 8 พ.ย. 66 เวลา 11.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล  1111 ดร.ธนสิริ ยกเชื้อ หัวหน้ากลุ่มตรวจพิสูจน์ทางเคมี สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้เปิดเผยผลการตรวจสารเสพติดจากเส้นผมลูกจ้างสาว เคสที่ถูกนายจ้างทารุณกรรมที่ร้านอาหารญี่ปุ่น โดยระบุว่า ผลตรวจสารเสพติดในเส้นผม  โดยความยาว 10.3 เซนติเมตร ตั้งแต่ห้วงเดือนธันวาคม 2565 ถึงปัจจุบัน หรือประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ตามความยาวเส้นผม ไม่พบสารเสพติดหรือสารแปลกปลอมทั้ง 28 รายการ ซึ่งครอบคลุมยาเสพติดทุกประเภทที่แพร่ระบาดในประเทศไทย

พันตำรวจโทเชน กาญจนาปัจจ์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า จากการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชของสถาบันฯ พูดคุยและประเมินอาการเบื้องต้นของลูกจ้างสาว และให้ลูกจ้างสาวทำแบบประเมินทางจิตเวช พบว่าภาวะซึมเศร้าหรือการฆ่าตัวตายอยู่ในระดับน้อย , ระดับความเครียดปานกลาง ซึ่งทั้งสองอย่างอยู่ในเกณฑ์คนปกติทั่วไป , ไม่พบอาการหูแว่ว ประสาทหลอน , การแสดงสีหน้าและอารมณ์ สอดคล้องกับเรื่องที่เล่า ดังนั้นโดยภาพรวมผู้เชี่ยวชาญไม่พบความผิดปกติทางจิตเวช

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ผลตรวจนี้เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกจ้างสาวว่า ไม่ได้มีการเสพยาเสพติดจนหลอนทำร้ายตัวเอง โดยหลังจากนี้จะเดินหน้าดำเนินคดีกับนายจ้างในข้อหาทำร้ายร่างกาย และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากกรณีให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าลูกจ้างสาวเสพยาเสพติดจนหลอน มีอาการทางจิตเวชและทำร้ายร่างกายตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทำให้ลูกจ้างสาวเสื่อมเสียชื่อเสียง

ลูกจ้างสาว กล่าวว่า  ดีใจที่ผลการตรวจยืนยันว่าตนเองไม่ได้เสพยาเสพติด  สบายใจขึ้นและรู้สึกได้ความยุติธรรมกลับคืนมา ซึ่งที่ผ่านมาสภาพจิตใจค่อนข้างย่ำแย่ ไม่ขอพูดถึงอะไรถึงนายจ้างอีกปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายดีกว่า หลังเกิดเหตุก็ไม่ได้คุยกับนายจ้างอีกเลย แต่ทางนายจ้างพยายามติดต่อมาที่คนรอบข้างเพื่อขอไกล่เกลี่ย เพื่อขอให้ไม่เอาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้มีการข่มขู่ใดๆ