จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อมูลเตือนเรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับการกินไข่ จะทำให้แผลเป็นนูน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลดังกล่าวแล้ว
โดยระบุว่า การรับประทานไข่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลเป็นนูน โดยระหว่างเกิดบาดแผลจะสามารถรับประทานไข่ได้ในปริมาณที่เหมาะสม
โดยแผลเป็นนูนมี 2 ชนิด คือ 1. แผลเป็นนูนเกิน ที่แผลจะนูนขึ้นมาแต่ไม่ขยายเกินขอบเขตของบาดแผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วสามารถกลับมาใกล้เคียงกับแผลเป็นปกติได้ภายใน 1 ปี ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และ 2. แผลเป็นคีลอยด์ จะเป็นแผลจะนูนขึ้นมา และขยายเกินขอบเขตของบาดแผลเกิดเมื่อเกิดขึ้นแล้วแผลจะนูนและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา ซึ่งแผลเป็นชนิดนี้มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อ และคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป อีกทั้งพันธุกรรมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์เช่นกัน
แผลเป็นสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด ใช้สเตียรอยด์แบบฉีด ซึ่งวิธีเหล่านี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับวิธีที่สามารถดูแลแผลเป็นด้วยตัวเอง ทำได้ด้วยการใช้แผ่นแปะลดรอยแผลเป็นได้แก่ แผ่นซิลิโคน (Silicone) ใช้หลังเกิดแผลสดหายดีแล้ว โดยปิดแผลเป็นตลอด 24 ชั่วโมงนาน 3 เดือน, แผ่นเทปเหนียว (Microporous) ใช้ปิดลงบนแผลเป็น โดยอุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ สามารถซื้อและขอรับคำปรึกษาในการใช้แผ่นแปะลดรอยแผลเป็นจากเภสัชกรได้ตามร้ายขายยาทั่วไป แต่แนะนำให้เลือกซื้อแผ่นแปะที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ดูเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ก่อนซื้อทุกครั้ง
เพราะการดูแลแผลอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการขยายตัวและการนูนตัวของแผลเป็นได้ และสามารถลดการขยายตัว และการนูนของแผลเป็นโดยการนวดบริเวณแผลเป็นเป็นประจำในระหว่าง 6 เดือนแรก
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม