จากเหตุสลด น.ส.ภานุมาศ 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีบุกรุก จากคดีดังครอบครองปรปักษ์ บ้านอากู๋ ย่านรามอินทรา 58 ได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ในบ้านพัก โดยทนายความของฝั่งผู้ต้องหาได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ตายเกิดความเครียดที่ถูกสื่อกดดันหลังโดนดำเนินคดี ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 26 ก.พ. 2567 ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของอากู๋ และทนายกุ้ง และ ซัน หลานอากู๋ ได้มีการแถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าว ยืนยันไม่ได้ใช้สื่อกดดัน
โดย ทนายเดชา ได้เปิดเผยว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอากู๋เองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน จึงขออโหสิกรรมให้
แต่ที่คาใจคือการที่ทนายความของคู่กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า มีการใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือกดดันจนเป็นเหตุให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นคงไม่ใช่สาเหตุหลัก เพราะการไปร้องเรียนสื่อมวลชนเพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้ช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นการนำเสนอข่าวเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ให้ได้รับความเป็นธรรม ตนเองเห็นว่าทนายคู่กรณีไม่มีความรับผิดชอบ ไปแนะนำให้ลูกความไปบุกรุกครั้งที่ 2 หรือไม่
เป็นทนายความต้องมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ คุณธรรมต้องนำกฎหมาย โดยผู้ถูกกล่าวหามีความเชื่อมั่นในตัวทนายความคนล่าสุดมาก ว่าจะสามารถนำบ้านมาเป็นของตัวเองได้ ส่วนจะเป็นการหลอกเอาเงินลูกความหรือไม่นั่น ตนเองไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากให้ประชาชนไปคิดเอาเอง
สำหรับความคืบหน้าคดีแรก ที่ผู้เสียหายได้แจ้งความข้อหาบุกรุกกับผู้ถูกกล่าวหา 5 คนนั้น พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งฟ้องวันที่ 6 มีนาคมนี้ เวลา 09.00 น. เมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตไป 1 คน ก็ต้องจำหน่ายออกจากคดี ซึ่งแนวทางที่อัยการจะสั่งคดี มีทั้งหมด 3 แนวทาง คือ สั่งฟ้องทั้งหมด, สั่งสอบเพิ่มเติม และสั่งไม่ฟ้อง
โดยก่อนหน้านี้ สามีของผู้ตายพร้อมกับสามีของผู้ถูกกล่าวหาอีกคน ได้มาพบกับตนเองและโทรศัพท์มาพูดคุยกับทนายเดชาว่า ภรรยาได้สำนึกผิดในการบุกรุกเข้าไปในบ้านของอากู๋ ซึ่งยินดีแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และติดต่อไปยังอากู๋ ต้องการที่จะเข้ากราบอากู๋ ก่อนที่จะเสียชีวิต มีความพยายามหลายครั้ง ซึ่งตนเองพยายามที่จะเป็นคนกลาง ช่วยคุยกับอากู๋ทั้งค่าเสียหาย และเรื่องคดีต่างๆ แต่อาจเป็นเพราะยังเจรจายังไม่ไปถึงไหน จึงอาจทำให้เกิดความเครียดตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าวขึ้น
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผู้เสียชีวิตก็เสียใจ พยายามที่จะมาเยียวยาค่าเสียหาย ซึ่งคนที่ร้องศาลให้มีคำสั่งครอบครองปรปักษ์ ไม่ใช่ผู้เสียชีวิต แต่เป็นพี่สาวของผู้เสียชีวิต ซึ่งผู้เสียชีวิตก็รู้สึกสำนึกในการกระทำและพร้อมเยียวยาค่าเสียหายทั้งหมด โดยผู้ตายได้ส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์ให้ทนายความและแฟนของนายซัน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข้อความระบุว่า "ยังไงก็คิดซะว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะคะ"
โดยส่วนตัวก็เพิ่งเคยเห็นคดีแรกที่ทนายความทำคดีแล้วลูกความเครียดจนเสียชีวิต ซึ่งยังไม่คิดถึงเรื่องการยื่นให้สภาทนายความตรวจสอบจริยธรรมของทนายตวามคู่กรณี ขึ้นอยู่กับนายซันว่าจะดำเนินการร้องเรียนไปหรือไม่ แต่ตอนนี้อากู๋บอกแค่ว่าอยากให้มีการไกล่เกลี่ย ซึ่งอากู๋เองทั้งเสียใจและช็อคการไกล่เกลี่ยโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย
ด้าน นายซัน หลานชายของอากู๋ ก็ได้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายตนเองก็พร้อมที่จะเจรจาไกล่เกลียที่ชั้นศาล ทางตนเองไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ส่วนกรณีที่ทางทนายความคู่กรณีกล่าวโทษว่าฝ่ายตนเองพยายามใช้สื่อกดดันนั้น ฟังแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
ขณะนี้ กำลังปรึกษากันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อดี ซึ่งตนเองทราบมาว่าผู้ถูกกล่าวหา เตรียมยื่นเรื่องขอเจรจาและจะถอนฟ้องคดีปรปักษ์ แต่มีการตรวจสอบแล้วพบว่ายังไม่ได้ถอน ซึ่งผู้ต้องหาพยายามที่จะติดต่อมาพูดตรงตรงว่า ก่อนหน้านั้นก็ยังโกรธอยู่เพราะบุกรุกมาซ้ำซ้อน แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้วเรื่องนี้จะขอว่ากันอีกที
อย่างไรก็ตาม ส่วนการจะขายบ้านหลังนี้ให้กับคู่กรณีหรือไม่ ดำเนินการกับคู่กรณีที่เหลืออย่างไร ต้องขอสอบถามพูดคุยกับอากู๋ก่อน เพราะตอนนี้ยังคงเสียใจช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น