จากกรณีวันที่ 26 ก.พ.67 เกี่ยวกับคดี ครอบครองปรปักษ์ หลังนางสาวภานุมาศ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ในห้องน้ำบ้านพัก โดย นุ ภานุมาศ เป็น 1 ใน 5 ผู้บุกรุกยึดบ้านอากู๋ย่านรามอินทรา 58 อ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ ก่อนที่ทั้งหมดจะโดนแจ้งความข้อหาบุกรุก ซึ่งล่าสุด ทนายความฝั่งบ้านอากู๋ เจ้าของบ้านตัวจริง ได้ออกมาชี้แจงว่า ผู้เสียชีวิตโดนคดีบุกรุก ไม่เกี่ยวคดีครอบครองปรปักษ์ ด้าน นายซัน หลานชายของอากู๋ ก็ได้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ซึ่งฝ่ายตนเองก็พร้อมที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยที่ชั้นศาล ทางตนเองไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ส่วนกรณีที่ทางทนายความคู่กรณีกล่าวโทษว่าฝ่ายตนเองพยายามใช้สื่อกดดันนั้น ฟังแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
ขณะนี้ กำลังปรึกษากันว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อดี ซึ่งตนเองทราบมาว่า ผู้ถูกกล่าวหา เตรียมยื่นเรื่องขอเจรจาและจะถอนฟ้องคดีปรปักษ์ แต่มีการตรวจสอบแล้วพบว่ายังไม่ได้ถอน ซึ่งผู้ต้องหาพยายามที่จะติดต่อมาพูดตรงตรงว่า ก่อนหน้านั้นก็ยังโกรธอยู่เพราะบุกรุกมาซ้ำซ้อน แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้วเรื่องนี้จะขอว่ากันอีกที
โดยทางด้าน ทนายเดชา ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอากู๋เองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน จึงขออโหสิกรรมให้ สำหรับความคืบหน้าคดีแรก ที่ผู้เสียหายได้แจ้งความข้อหาบุกรุกกับผู้ถูกกล่าวหา 5 คนนั้น พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งฟ้องวันที่ 6 มีนาคมนี้ เวลา 09.00 น. เมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตไป 1 คน ก็ต้องจำหน่ายออกจากคดี
ซึ่งแนวทางที่อัยการจะสั่งคดี มีทั้งหมด 3 แนวทาง คือ สั่งฟ้องทั้งหมด, สั่งสอบเพิ่มเติม และสั่งไม่ฟ้อง
ซึ่งตนเองพยายามที่จะเป็นคนกลาง ช่วยคุยกับอากู๋ทั้งค่าเสียหาย และเรื่องคดีต่างๆ แต่อาจเป็นเพราะยังเจรจายังไม่ไปถึงไหน จึงอาจทำให้เกิดความเครียดตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าวขึ้น
ส่วนตัวก็เพิ่งเคยเห็นคดีแรกที่ทนายความทำคดีแล้วลูกความเครียดจนเสียชีวิต ซึ่งยังไม่คิดถึงเรื่องการยื่นให้สภาทนายความตรวจสอบจริยธรรมของทนายความคู่กรณี ขึ้นอยู่กับนายซันว่าจะดำเนินการร้องเรียนไปหรือไม่