ภัยสังคม! รวบหนุ่มใหญ่ ตระเวนหยิบบัตร ATM ที่คนลืมทิ้งไว้ตามตู้
เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.สส.1 สืบนครบาล จับกุมตัว นายประพัทธ์ อายุ 46 ปี ตามหมายจับศาลอาญา กระทําผิดฐาน “ลักทรัพย์” พฤติการณ์ สืบเนื่องจากผู้เสียหายได้ใช้บัตรเดบิตกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มภายในห้างสรรพสินค้าย่านประตูน้ำและได้ลืมบัตรเดบิตไว้ที่ตู้เอทีเอ็ม หลังจากนั้นได้รับข้อความทางโทรศัพท์มือถือแจ้งว่ามีการชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเดบิตของผู้แจ้ง ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งหลายครั้งรวมเป็นเงินกว่า 10,000 บาท ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ต่อมาชุดจับสามารถจับตัวนายประพัทธ์ ได้ที่บริเวณป้ายรถประจำทาง หน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ทางคู่ขนาน ถนนพหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตรวจสอบประวัติพบคดีติดตัวเมื่อปี 2559 ข้อหา “ลักทรัพย์” ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ สืบสวน สน.พญาไท โดยผู้ต้องหาได้ทำการประกันตัวในชั้นสอบสวนและได้ทำการหลบหนีหลังจากประกันตัว ต่อมาในปี 2563 ถูกจับในข้อหา “ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน” ถูกจับกุมโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬา และได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบถามปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า จะตระเวนไปตามตู้เอทีเอ็มในสถานที่ต่างๆเช่นถนนข้าวสาร ประตูน้ำเซ็นทรัลเวิลด์ หรือสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจะหาบัตรเดบิตที่ผู้เสียหายลืมไว้ที่ตู้เอทีเอ็มและเอาไปใช้ซื้อบุหรี่เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยผู้ต้องหารับ ว่าก่อเหตุมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง
จากการตรวจสอบประวัติคดีของผู้ต้องหา
– ปี 2559 ข้อหา “ลักทรัพย์” ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่สืบสวน สน.พญาไท จับกุมดำเนินคดี (ผู้ต้องหาได้ทำการประกันตัวในชั้นสอบสวน และได้ทำการหลบหนีหลังจากประกันตัว)
– ปี 2563 ข้อหา “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ถูกจับกุมโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬา และได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยแต่ละครั้งจะได้เงินประมาณ 10,000 บาท และได้ก่อเหตุครั้งล่าสุดช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักของผู้ต้องหาผลการตรวจค้นพบบุหรี่พร้อมจำหน่ายกว่า 50 ซอง อยู่ในห้องพักของผู้ต้องหาจึงทำการตรวจยึดและนำส่งพนักงานสอบสวนสน.พญาไท เพื่อดำเนินการต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนประชาชนว่า เมื่อรู้ตัวว่าถูกขโมยบัตรเดบิตสิ่งแรกที่ควรทำคือโทรอายัติบัตรเอทีเอ็มกับธนาคารเจ้าของบัตร พร้อมตรวจสอบยอดเงินในบัตรว่าถูกกดออกไปหรือไม่ และแจ้งความเพื่อเอาผิดกับคนร้าย หากเป็นคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวก็ควรสอบถามวัตถุประสงค์และอยู่ที่ดุลพินิจเจ้าของเงินอีกครั้ง