ทนายหงส์ เห็นผู้ค้ำประกันหลั่งน้ำตา ในวันขึ้นศาล เตือนจะค้ำให้ใครดูให้ดี

16 พฤษภาคม 2567

ทนายหงส์ เปิดเรื่องราวเตือน คนที่กำลังจะค้ำประกันให้ใคร ต้องดูให้ดี เพราะเพิ่งเห็นมากับตา ในวันขึ้นศาลเห็นผู้ค้ำประกันนั่งน้ำตาไหล

เชื่อว่าหลายคนรู้กันมาบ้างแล้วสำหรับ บทบาทและหน้าที่ของคนค้ำประกัน คนค้ำประกันมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกับลูกหนี้ หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องให้คนค้ำประกันชำระหนี้แทนได้

สิทธิของคนค้ำประกัน คนค้ำประกันมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้คืนก่อน และมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากลูกหนี้

 

ล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายความชื่อดังอย่าง ทนายหงส์ ได้ออกมาเปิดข้อกฎหมาย เกี่ยวกับ การกู้ยืม เจ้าหนี้ ลูกหนี้ คนค้ำประกัน ผ่านเฟซบุ๊ก ทนายหงส์ หัทยา อั้นเต้ง ระบุว่า 

ถ้าลูกหนี้ชั้นต้นไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันก็ถูกยึดทรัพย์ได้ 100% เพราะยึดมาแล้ว และเจ้าหนี้มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะฟ้องผู้ค้ำประกันคนเดียวก็ได้

ในวันขึ้นศาลเห็นผู้ค้ำประกันนั่งน้ำตาไหลเลย

รู้ไว้น่ะ !!! ก่อนจะเซ็นค้ำประกันให้ใครต้องคิดให้ดีคิดให้หนักว่าถ้าลูกหนี้ชั้นต้นไม่ชำระหนี้แล้วเราในฐานะผู้ค้ำประกันจะยินดีรับผิดชอบชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้แทน

ถ้าไม่มั่นใจ อย่าเอาเครดิตตัวเองไปค้ำประกันให้ใครเด็ดขาดเพราะวันนึงในอนาคตถ้าลูกหนี้ชั้นต้นไม่ชำระหนี้ขึ้นมา คนที่จะเดือดร้อนที่สุดคือผู้ค้ำประกันที่ต้องรับผิดชำระหนี้แทน และถ้าผู้ค้ำประกันมีทรัพย์สินที่จะสามารถนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ผู้ค้ำประกันจะปฏิเสธให้ไม่ต้องรับผิดแทนลูกหนี้ชั้นต้นไม่ได้เลย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรค 1 วางหลักไว้มีใจความว่า " อันว่าค้ำประกันนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น "

ดังนั้น เมื่อใดที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะต้องผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ รับผิดชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ แทนลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันจะมาอ้างว่าไม่ใช่คนกู้ไม่ได้หรือ แค่เซ็นชื่อให้เฉยๆ ไม่เคยได้รับทรัพย์สินอะไรจากลูกหนี้เลยไม่ได้

วันนี้ทนายหงส์มาออกหมายบังคับคดีกับผู้ค้ำประกันเพื่อยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ครบถ้วน เคสนี้ผู้ค้ำประกันมีทรัพย์สินจึงเลือกฟ้องเฉพาะผู้ค้ำประกันให้ต้องรับผิดแทนลูกหนี้ชั้นต้น ในวันขึ้นศาลเห็นผู้ค้ำประกันนั่งน้ำตาไหลเลยที่ดินผืนเดียวที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัยกันทั้งครอบครัวของผู้ค้ำประกัน ติดต่อให้ลูกหนี้มารับผิดลูกหนี้ก็เงียบเฉยไม่สนใจ ลูกหนี้ไม่ช่วยเหลือใยดีอะไรผู้ค้ำประกันเลย ส่วนผู้ค้ำประกันไปใช้สิทธิ์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกคืนจากลูกหนี้ต่อไป เคสนี้สงสารผู้ค้ำประกันจับใจ

สรุป เพราะฉะนั้น ถ้าไม่สนิทไม่ใช่สายเลือดไม่ใช่คนในครอบครัว หรือไม่มีความจำเป็นอย่างที่สุด " ห้ามเซ็นค้ำประกันให้ใครเด็ดขาด " อย่าเอาความเดือดร้อนของคนอื่นมาเป็นปัญหาให้ตัวเอง

อย่าไปรับประกันให้ใคร ไม่ต้องเกรงใจ ปฏิเสธไปตอนนี้ดีกว่ามาบาดหมางเพราะเกรงใจกันในอนาคต

ทนายหงส์ เห็นผู้ค้ำประกันหลั่งน้ำตา ในวันขึ้นศาล เตือนจะค้ำให้ใครดูให้ดี