สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีนโยบาย "ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้" มุ่งเน้นให้ครูลดปริมาณการบ้านที่ต้องทำนอกเวลาเรียน โดยวันที่ 17พ.ค.67 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 แล้ว ซึ่ง สพฐ. ได้กำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต ขับเคลื่อนนโยบาย "เรียนดี มีความสุข" ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง, ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ของ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)
โดยดูแลให้สถานศึกษาดำเนินการตามประกาศหลักการและแนวปฏิบัติในการมอบหมายการบ้าน “ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้” ที่มุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ให้การบ้านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ และเป็นเครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน ขณะเดียวกันให้เขตพื้นที่ฯซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัดระหว่างทาง และ ตัวชี้วัดปลายทาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) และแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตัวชี้วัดระหว่างทาง ตัวชี้วัดปลายทาง และเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน
หลักการ "ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้" มุ่งเน้นให้ครูลดปริมาณการบ้านที่ต้องทำนอกเวลาในชั้นเรียน ให้เน้นการมอบหมายการบ้านเฉพาะรายวิชาที่จำเป็นทักษะสำคัญ เช่น การอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น ให้มีการบูรณาการการบ้าน ซึ่งการบ้านชิ้นงานเดียวอาจตอบโจทย์การเรียนรู้ข้ามรายวิชา และส่งเสริมให้นักเรียนได้มีเวลาศึกษาค้นคว้าตามความสนใจของตนเองมากขึ้น ทั้งนี้ หัวใจของการให้การบ้าน คือ การให้เด็กๆ ได้ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ให้ได้ฝึกฝนทำซ้ำจนเกิดทักษะ
ซึ่งเด็กแต่ละคนต้องการเวลาเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนไม่เท่ากัน หรือ สำหรับเด็กโต การบ้านที่ให้ได้ค้นคว้าอย่างอิสระ จะยิ่งส่งเสริมการเรียนรู้ ช่วยบ่มเพาะความรับผิดชอบในตนเอง ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำกับคุณครูว่า การให้โจทย์ที่ไม่ยากไม่ง่าย ไม่ใช้เวลามากเกินไป แล้วมีการตรวจการบ้าน อธิบาย ให้ feedback จุดที่ควรพัฒนาอย่างตรงประเด็น จึงจะเป็นการพัฒนานักเรียนอย่างแท้จริง ซึ่งความสุขที่เกิดจากการลดปริมาณแต่เพิ่มคุณภาพของการบ้าน เช่น ทำการบ้านหนึ่งชิ้นงานส่งคุณครูเพื่อวัดผลการเรียนรู้ได้หลายวิชา จะสร้างความสุขให้ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงคุณครูเองด้วย
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนรู้และลดภาระครู และนักเรียน ด้านการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สพฐ.ได้ดำเนินการคัดสรรตัวชี้วัดระหว่างทาง และตัวชี้วัดปลายทาง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พศ.2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ซึ่งจากจำนวนตัวชี้วัดทั้งสิ้น 2,056 ตัวชี้วัด สามารถจำแนกเป็นตัวชี้วัดระหว่างทาง จำนวน 1,285 ตัวชี้วัด และตัวชี้วัดปลายทางจำนวน 771 ตัวชี้วัด
โดยการคัดสรรตัวชี้วัดดังกล่าวนี้ นักเรียนยังคงได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพครบถ้วนตามที่หลักสูตรกำหนด อย่างครบถ้วนผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผล ดังนี้ การประเมินผลการเรียนรู้กับตัวชี้วัดระหว่างทาง ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเน้นการประเมินระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนเป็นหลัก เช่น การสังเกตพฤติกรรม การสอบปากเปล่า การพูดคุย การใช้คำถาม การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ การประเมินตนเองและเพื่อน เป็นต้น สำหรับการประเมินผลการเรียนรู้กับตัวชี้วัดปลายทาง
เน้นการประเมินผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนด้วยวิธีที่หลากหลาย หรือการวัดและประเมินผลแบบเป็นทางการ เช่น การประเมินด้วยการปฏิบัติ แฟ้มสะสมผลงาน แบบทดสอบ และชิ้นงาน เป็นต้น” เลขาธิการ กพฐ.
นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่การลดภาระงานของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
ลดปริมาณการบ้าน : เน้นให้ครูมอบหมายการบ้านเฉพาะวิชาที่จำเป็น เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ เน้นทักษะสำคัญ เช่น การอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น
บูรณาการการบ้าน: ออกแบบการบ้านให้เป็นชิ้นงานเดียว อาจตอบโจทย์การเรียนรู้ข้ามรายวิชา
เน้นการเรียนรู้ : มอบหมายการบ้านที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข เป็นเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ และประเมินผลเพื่อติดตามความก้าวหน้า
ลดเวลาเรียน : ลดเวลาเรียนในห้องเรียนลง 10-20% เพื่อให้นักเรียนมีเวลาศึกษาค้นคว้าตามความสนใจมากขึ้น
เป้าหมายของนโยบายนี้
ลดภาระ : ลดความเครียด ให้นักเรียนมีเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมอื่น ๆ และใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
พัฒนาการเรียนรู้: ให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ค้นคว้าหาความรู้ คิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และนำความรู้ไปใช้จริง
สร้างความสุข: ส่งเสริมให้นักเรียนมีความสุขกับการเรียน รักการเรียนรู้ และมีแรงจูงใจในการศึกษาต่อ
อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ได้ห้ามครูมอบหมายการบ้าน แต่ครูต้องออกแบบการบ้านให้เหมาะสม สอดคล้องกับหลักการและแนวทางที่กำหนดไว้ และคำนึงถึงความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน