กรณีเรือน้ำมันเถื่อน 3 แสนลิตร ที่โยงกับ "เสี่ยโจ้" และตำรวจยศผู้กำกับ น. นั้น ล่าสุด "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าคดีลักเรือน้ำมันเถื่อน 3แสนลิตร หลังสอบปากคำลูกเรือทั้ง 8 คนทราบว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะไต้ก๋งเรือที่เหมือนกับเป็นแสงสว่างเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่ จนสามารถรู้เบื้องหลังว่าคดีที่มาอย่างไร ทำให้รูปคดีมีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมตอบกรณีแชทไลน์เสี่ยโจ้กับตำรวจยศ ผู้กำกับ น. หลุดไปยังสื่อมวลชน
โดยบิ๊กเต่า กล่าวอีกว่า การลักเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ถือเป็นการตบหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างแรง ดังนั้นจึงต้องดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็ ต้องรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ ก่อนหน้านี้มีความสุขสบายนั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่ว่ากัน แต่เมื่อถึงเวลารับกรรมต้องยอมรับสภาพให้ได้ เพราะเมื่อวานจากการสอบปากคำไต้ก๋งเรือทั้ง 3 ลำทำให้เราได้ความเชื่อมโยงจากคดีแรกในการจับกุมน้ำมันเถื่อนเมื่อวันที่ 19 มี.ค.กับคดีเรือหาย มีความเป็นมาอย่างไร หลังจากนี้จะหารือกับอัยการถึงมาตรการดำเนินการหลังจากนี้ต่อไป
ส่วนกรณีแชทไลน์เสี่ยโจ้กับตำรวจบางนายหลุดไปยังสื่อมวลชน จากการตรวจสอบพบเป็นแชทไลน์จริง แต่ขอเวลาให้ทำงานก่อนก็จะมีความชัดเจนอย่างแน่นอน พร้อมเตรียมเรียกตัวสอบปากคำในประเด็นผกก.คนดังกล่าวแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. กล่าวถึงกรณีที่มีความเห็นจากพนักงานอัยการสูงสุดว่าการดำเนินคดียึดเรือน้ำมันเถื่อนของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. อาจทำได้ยาก เพราะพื้นที่จับกุมอยู่นอกราชอาณาจักร อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
จากกรณีดังกล่าวขอยืนยันว่า จุดที่จับกุมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ อยู่ห่างออกจากเส้นฐาน 80ไมล์ทะเล หากอยู่อยู่ในพื้นที่น่านน้ำไทยจะห่างเพียง 12 ไมล์ทะเล ทำให้คดีนี้ถือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นอำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีจะเป็นของพนักงานอัยการสูงสุด โดยมีตำรวจเข้าไปสอบสวนร่วมด้วย
ทั้งนี้มีข้อมูลจากผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นชุดสืบสวนคดีน้ำมันเถื่อน ที่เคยจับกุมน้ำมันเถื่อนมาก่อนหน้านี้สองครั้ง ผู้ต้องหาในคดีนั้นให้การว่าซื้อน้ำมันเถื่อนมาจากจุดซื้อขายในพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ เมื่อไปตรวจสอบก็พบการกระทำความผิด ทำให้มั่นใจว่าการสืบสวนจะมีหลักฐานเข้ามาประกอบในสำนวนค่อนข้างชัดเจน จึงไปปรึกษากับอัยการที่แนะนำให้ไปสอบปากคำหน่วยงานที่เกึ่ยวข้องเพิ่มเติมเท่านั้น นั่นหมายความว่าตอนนี้ข้อมูลค่อนข้างจะสมบูรณ์ระดับนึงแล้ว คาดว่าสำนวนจะแล้วเสร็จภายในหกเดือน
พ.ต.อ.ชัชวาล กล่าวอีกด้วยว่า สำหรับเรือน้ำมันเถื่อน5ลำ ที่จับกุมได้ มีเพียง1ลำที่เป็นเรือไทยมีทะเบียนถูกต้อง ส่วนอีก 4ลำนั้นเป็นเรือเถื่อนทั้งหมด แบ่งเป็น เรือโชคบุญชูเป็นเรือไทย มีทะเบียนรู้ตัวเจ้าของ ส่วนเรือกำไลเงินเหล็ก และเรือเจพี มีข้อมูลว่าขายให้คนมาเลเซียไปพร้อมๆกัน เมื่อมีการขายให้ชาวต่างชาติจึงเพิกถอนทะเบียน
จากข้อมูลพบว่าชาวมาเลเซียคนนี้ออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ส่วน เรือดาวรุ่งและซีฮอต เป็นเรือเถื่อนไม่มีทะเบียน ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นของใคร แต่ในทางสืบสวนพอจะรู้ตัวเจ้าของแล้ว เพราะก่อนหน้าเคยเรียกเจ้าของเรือที่มีทะเบียน รวมถึงกลุ่มคนที่ครอบครองเรือเถื่อนมาสอบปากคำแต่ไม่มีใครมา ทำให้คาดว่ากลุ่มนี้เป็นขบวนการเดียวกันทั้งหมด