ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศไทย ในปี 2540/2541 มีพื้นที่ปลูก 8.7 ล้านไร่ ผลผลิต 3.8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 16,861 ล้านบาท แต่ความต้องการใช้ผลผลิตข้าวโพดของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยมีการนำเข้าข้าวโพดคิดเป็นมูลค่า 1,271 ล้านบาท เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น แนวทางหนึ่งในการเพิ่มผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อให้เพียงพอกับการใช้ภายในประเทศ อาจทำได้โดยการใช้พันธุ์ข้าวโพดลูกผสม เพราะให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าพันธุ์ผสมเปิด
ซึ่งจะทำให้ผลผลิตรวมสูงขึ้นด้วย ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนผลิตพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมออกจำหน่ายให้กับเกษตรกรหลายบริษัท แต่ราคาของเมล็ดพันธุ์ค่อนข้างสูงประมาณ 80-100 บาทต่อกิโลกรัม และไม่ต้านทานโรคราน้ำค้าง ซึ่งเป็นโรคสำคัญที่ทำให้การปลูกข้าวโพดเสียหาย และไม่ได้ผลผลิต ดังนั้นเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมที่บริษัทต่าง ๆ จำหน่าย ต้องคลุกสารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อโรคราน้ำค้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษต่อสภาพแวดล้อม
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ สถาบันวิจัยพืชไร่ จึงได้พัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 72 เพื่อแก้ปัญหาโรคราน้ำค้างและผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมในราคาถูก สำหรับแนะนำให้เกษตรกร ร่วมกับวิธีการทำการเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP-Good Agricultural Practice) เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 72 เป็นข้าวโพดลูกผสมพันธุ์แรก ของกรมวิชาการเกษตรที่ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดี ผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมได้สะดวก เนื่องจากพันธุ์พ่อและแม่มีวันออกดอกใกล้เคียงกัน จึงจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้ในราคาที่ต่ำกว่าของบริษัทเอกชนมาก (50 บาทต่อกิโลกรัม)
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 72 เดิมคือพันธุ์ NSX 9210 เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว เกิดจากสายพันธุ์พ่อและแม่ 2 สายพันธุ์ (inbred lines) คือ Nei 9008 และ Nei 9202 ไม่ได้เป็นข้าวโพดที่มีการตัดต่อหรือดัดแปลงสารพันธุกรรม (non-GMOs) ทำการผสมที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ประเมินผลผลิตตามขั้นตอนของการปรับปรุงพันธุ์ในศูนย์วิจัยพืชไร่ สถานีทดลองพืชไร่และไร่เกษตรกรตามแหล่งปลูกต่าง ๆ จนได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมที่เชื่อมั่นได้ว่าเป็นข้าวโพดพันธุ์ดี โดยได้ผ่านการพิจารณาจากกรมวิชาการเกษตรให้เป็นพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543
ลักษณะดีเด่น
1. ให้ผลผลิตเฉลี่ย 913 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ผสมเปิดนครสวรรค์ 1 ร้อยละ 23
2. ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง เช่นเดียวกับพันธุ์นครสวรรค์ 1
3. มีอายุยาว 110-120 วัน เมล็ดสีส้มเหลืองและเป็นชนิดหัวแข็ง
4. สะดวกในการผลิตเมล็ดพันธุ์ เนื่องจากสายพันธุ์พ่อและแม่ มีอายุถึงวันออกดอกตัวผู้และตัวเมียใกล้เคียงกันได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม 300-400 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้เมล็ดพันธุ์มีราคาต่ำกว่าพันธุ์ลูกผสมอื่น ๆ (อัตราปลูกแถวต้นตัวเมีย : ต้นตัวผู้เท่ากับ 4:1)
การใช้พันธุ์ข้าวโพดลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 72 แม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตด้านเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์ผสมเปิด แต่จะลดการใช้สารเคมีเพื่อต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง และยังมีผลผลิตสูงใกล้เคียงพันธุ์ลูกผสมอื่น ๆ ที่ผลิตจากบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ หากเกษตรกรใช้วิธีการทำการเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) จะทำให้ผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้น เป็นการลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรโดยตรง
สนับสนุนโดย : ปุ๋ยทิพย์