ใช้รถต้องรู้! รถสตาร์ทไม่ติด จะมีสาเหตุใดบ้าง?
1.แบตเตอรี่เสื่อม
แบตเตอรี่เสื่อมเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากแบตเตอรี่มักมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี สังเกตได้จากเสียงสตาร์ตจะค่อนข้างเอื่อยกว่าปกติ จนสุดท้ายจะมีเพียงเสียงแช้ะแล้วเงียบไป โดยมักพบอาการในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ตอนเช้า หรือหลังจากจอดรถไม่ได้ใช้งานหลายวัน
วิธีแก้ไขไม่ยาก คือ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 1 พันบาทปลายๆ (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อแบตเตอรี่และขนาดที่ใช้)
2.ไดสตาร์ตเสีย
ไดสตาร์ทเป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน จึงมักพบปัญหาไดสตาร์ตเสื่อมกับรถรุ่นเก่าเท่านั้น โดยอาการของไดสตาร์ตเสื่อม คือ บิดกุญแจแล้วไม่มีเสียงใดๆ แต่ไฟหน้าปัดติดครบ และแบตเตอรี่ยังคงใช้งานได้ดี ซึ่งการเปลี่ยนไดสตาร์ตจะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและความยากง่ายของการหาอะไหล่
3.น้ำมันหมด
น้ำมันหมดก็ถือเป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นกัน เพราะหากมีปริมาณน้ำมันในถังเหลือน้อย บางครั้งการจอดรถที่พื้นที่ลาดเอียงก็อาจทำให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดเชื้อเพลิงในถังได้ ส่งผลให้มีอาการสตาร์ตไม่ติด แต่ทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้น้ำมันเกลี้ยงถังอยู่บ่อยๆ ควรเติมน้ำมันทันทีหลังจากขึ้นขีดแดงจะดีกว่า
4.ปั๊มติ๊กไม่ทำงาน
ปั๊มติ๊ก หรือ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง มีหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังเชื้อเพลิงส่งให้กับเครื่องยนต์ หากปั๊มติ๊กเกิดเสียหรือน็อค ก็จะทำให้รถดับกลางทางและสตาร์ตไม่ติดได้ ซึ่งอาการของปั๊มติ๊กเสียจะมีเสียงสตาร์ตตามปกติแต่เครื่องยนต์ไม่ติด ต่อให้บิดกุญแจอย่างไรเครื่องยนต์ก็ไม่ติด แบบนี้อาจต้องยกเข้าอู่เพื่อทำการแก้ไข โดยมักมีค่าใช้จ่ายรวมค่าแรงประมาณ 3 พันบาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ)
5.ไดชาร์จเสีย
อย่าสับสนระหว่างไดชาร์จและไดสตาร์ต เนื่องจากทั้งคู่มีหน้าที่การทำงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยไดชาร์จจะมีหน้าที่สร้างกระแสไฟจากการทำงานของเครื่องยนต์ส่งไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่ ดังนั้น หากไดชาร์จเสียก็จะทำให้ไฟในแบตเตอรี่ค่อยๆ หมดไปจนเครื่องยนต์ดับกลางทาง และสุดท้ายก็จะมีอาการเหมือนแบตเตอรี่เสื่อมนั่นเอง
6.ระบบไฟฟ้าผิดปกติ
ปัญหาการสตาร์ทไม่ติดที่เกิดขึ้นจากระบบไฟฟ้ามีสาเหตุค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่หนูกัดสายไฟขาดไปจนถึงกล่องควบคุมเครื่องยนต์ หรือ ECU มีปัญหา ทางที่ดีหากปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจาก 5 ข้อที่กล่าวถึงด้านบนแล้วล่ะก็ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญรถของคุณเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุดนั่นเอง
เพิ่มเติมอีกนิดนึง อุปกรณ์คู่หูที่ควรมีไว้ ขาดไม่ได้สำหรับรถทุกคัน
รถสตาร์ทติดยาก หรือไม่ติด อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับรถคุณได้ง่าย ๆ เพราะมั่นใจว่าบำรุงรักษาตามระยะทางเป็นอย่างดี แต่การมีตัวช่วยอย่าง “สายพ่วงแบตเตอรี่” ติดรถของคุณเอาไว้ ก็สามารถช่วยให้คุณอุ่นใจได้ในยามยาก เพราะในทุก ๆ วันที่คุณขับขี่รถยนต์ของคุณไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะไม่มีอาการอะไรให้คุณรู้สึกว่าเป็นปัญหา แต่ในความจริงแล้ว รถและชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา การมีอุปกรณ์สำหรับใช้แก้ไขอาการเบื้องต้นต่าง ๆ นั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อรถของคุณเกิดปัญหาแบบไม่คาดฝัน ไม่ทันได้เตรียมตัว
สายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยในการสตาร์ทรถ โดยต่อสายพ่วงเข้ากับรถอีกคันหนึ่งที่แบตเตอรี่ยังใช้งานได้ตามปกติ เพื่อช่วยให้เกิดกระแสไฟฟ้าหมุนเวียนเข้าไปในแบต และทำให้คุณสามารถสตาร์ทรถติดได้ ซึ่งในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติดตอนเช้า หรือตอนไหน แล้วลองแก้ไขเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบตแล้ว แต่ก็ยังไม่สตาร์ทรถไม่ได้ อย่างน้อยเวลาที่คุณโทรศัพท์เพื่อนัดให้ช่างมาแก้ไขปัญหาให้ที่หน้างาน เมื่อบอกข้อมูลตรงนี้ให้ช่างรับรู้แล้ว ก็จะช่วยให้ตั้งสมมติฐานต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ว่าปัญหาของรถสตาร์ทไม่ติด ไม่ได้มาจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือหมด แต่อาจจะมาจากไดชาร์จหรือจุดอื่น ๆ ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน