สิ้นสุดการรอคอย! OMODA & JAECOO ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ล่าสุด
OMODA & JAECOO (Thailand) ประกาศรุกตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยโรดแมปวางจำหน่ายรถยนต์ในไทย 4 รุ่น ตั้งเป้ายอดขายภายในปีนี้มากถึง 6 พันคัน ประเดิม OMODA C5 EV รถยนต์ไฟฟ้า 100% พร้อมส่งมอบรถยนต์ได้ภายในไตรมาสที่ 2 นี้
สำหรับรถยนต์ที่เปิดตัวในไทยพร้อมจำหน่ายในปีนี้ประกอบไปด้วย OMODA C5 EV เริ่มประกาศราคาและวันวางจำหน่ายภายในไตรมาสที่ 2 JAECOO 7 รถยนต์พรีเมียม เอสยูวี ออฟโรด แบบ PHEV Plug-in Hybrid มีแผนเข้ามาจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 และ JAECOO 6 รถยนต์ EV 100% และ JAECOO 8 แบบ PHEV Plug-in Hybrid วางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 4
แผนการเปิดโชว์รูม และศูนย์บริการหลังการขาย ทาง OMODA & JAECOO (Thailand) จะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงเริ่มวางจำหน่าย OMODA C5 EV โดยจะเริ่มในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มต้นประมาณ 20 โชว์รูม และจะกระจายไปหัวเมืองไทยทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้มากกว่า 35 โชว์รูม
ทางด้านนาย ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในปีนี้ ทางบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งหมด 6 พันคัน แบ่งเป็น PHEV 70% และ EV 30% จากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยแจ้งปริมาณการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทยในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 407,000 โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% มียอดจำหน่ายกว่า 73,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 603.66% จากปีก่อน เรายังเห็นว่ายังมีช่องทางการทำการตลาดได้ โดยเฉพาะมองว่าพฤติกรรมการใช้งานของไทย PHEV ยังตอบโจทย์ได้ดี เพราะเทคโนโลยีของ Chery สามารถทำระยะทางการเดินรถด้วยไฟฟ้าสูงสุดถึง 175 กิโลเมตร สูงกว่าแบรนด์รถยนต์อื่นๆ ที่ขายไทยในไทยกว่าเท่าตัว ซึ่งหลายๆ องค์ประกอบจะทำให้ OMODA & JAECOO จะเป็นแบรนด์รถยนต์จีนสามอันดับแรกในไทยภายใน 3 ปีข้างหน้า
และ Chery ยังได้เข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 กับทางภาครัฐ โดยพร้อมลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ใหม่ทั้งระบบ ในจังหวัดระยอง ถือว่าเป็นโรงงานประกอบรถยนต์พวงมาลัยขวาแห่งแรกของโลก เริ่มต้นจะทำการผลิต JAECOO 6 พร้อมส่งออกในปี 2025 กว่า 50,000 คัน และในปี 2027 จะผลิตรุ่น OMODA C5 EV กำลังการผลิตกว่า 80,000 คัน โดยจะสามารถส่งออกไปยังตลาดรถยนต์พวงมาลัยกว่า ได้ในอาเซียน, โอซีเนีย และตะวันออกกลาง OMODA & JAECOO เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในประเทศไทยแล้ว ซึ่งพร้อมที่จะให้คนไทยได้สัมผัส ยานยนต์แห่งอนาคต ด้วย รถยนต์ 4 รุ่นด้วยกัน มาในรูปแบบ EV 100 เปอร์เซ็นต์ และ ปลั๊กอินไฮบริด
เริ่มกันที่ OMODA C5 EV รถยนต์ไฟฟ้าEV สไตล์ Crossover SUV โดดจะมีจุดเด่นอยู่ที่ สามารถใช้งานได้ครอบคลุม ทุกเส้นทาง และยังมพร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้า 61 กิโลวัตต์-ชั่วโมง แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ด้วยประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงสุด 94% และพลังงานสูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ ชาร์จเต็มวิ่งไกล 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.8 วินาที ระยะเวลาในการชาร์จกระแสตรง DC จาก 30-80% นาน 28 นาที ชาร์จเต็มวิ่งไกล 460 กิโลเมตร
มิติของตัวถังนั้น มาด้วยขนาด ความยาว 4,440 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร สูง 1,588 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร
อีกหนึ่งความโดดเด่น ด้วยฟังก์ชั่น Light of Movement” มาพร้อมกับกล้อง 540 องศา ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร 64 สี หน้าจอแสดงผลขนาด 24.6 นิ้วแบบทัชสกรีน เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมฟังก์ชั่นระบายอากาศ ลำโพง SONY 8 ตำแหน่ง เทคโนโลยีความปลอดภัย 3 ฟังก์ชั่นระบบช่วยเหลือการขับขี่ และระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ (DMS)อีกด้วย
ตามมาด้วยอีกหนึ่งรุ่น ที่ชาวไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ก็คือ JAECOO 6, JAECOO 7 และ JAECOO 8
JAECOO 6 EV รุ่นนี้มาในรูปแบบ EV 100 เปอร์เซ็นต์ ให้พลังกำลังถึง 279 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 6.5 วินาที แบตเตอรี่ 69.8 kWh ชาร์จกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 30 นาที วิ่งได้ไกลสุด 470 กิโลเมตร (NEDC) ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2024
JAECOO 7 รุ่นนี้เป็นแบบปลั๊กอินไฮบริดขุมพลังสูงสุด 346 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 525 นิวตันเมตร เฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้า 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 20.4 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 7.9 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 18.3 kWh ชาร์จกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 20 นาที มอเตอร์ไฟฟ้าวิ่งได้ไกลสุด 95 กิโลเมตร (NEDC) ระยะทางเมื่อขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และไฟฟ้าได้ไกลสุด 1,280 กิโลเมตร ซึ่งจะเปิดตัวช่วงไตรมาส 3 ปี 2024
JAECOO 8 PHEV อีกหนึ่งรุ่นที่เป็นปลั๊กอินไฮบริดขุมพลังสูงสุด 605 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 915 นิวตันเมตร เฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้า 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 5.4 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 34.46 kWh ชาร์จกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 20 นาที มอเตอร์ไฟฟ้าวิ่งได้ไกลสุด 175 กิโลเมตร (NEDC) ระยะทางเมื่อขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และไฟฟ้าได้ไกลสุด 1,321 กิโลเมตร ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 เช่นเดียวกัน