ประโยชน์ของแตงโม
- ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ
การรับประทานอาหารที่มีน้ำในปริมาณมากอาจช่วยทำให้ร่างกายชุ่มชื้น ส่งผลให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ เช่น การควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย การลำเลียงสารอาหารไปสู่อวัยวะส่วนต่างๆ ทั้งยังช่วยให้ร่างกายตื่นตัวอยู่เสมอ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
ในแตงโมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไลโคปีน คิวเคอร์บิทาซิน อี พบว่า การบริโภคไลโคปีนซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากไลโคปีนอาจช่วยลดระดับไอจีเอฟ-วัน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน และทำให้เซลล์แบ่งตัว เมื่อฮอร์โมนชนิดนี้ลดลง จึงช่วยยับยั้งการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
แตงโมมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่าซิทรูลีน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารเสริมซิทรูลีนเป็นประจำ ช่วยลดความเหนื่อย และอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้จริง โดยไม่ส่งผลต่อระดับแลคเตทในเลือด ซึ่งแลคเตท เป็นกรดชนิดหนึ่งที่ร่างกายจะหลั่งออกมาเมื่อออกแรงมากๆ ยิ่งมีแลคเตสสูง ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อล้า
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเส้นผมให้แข็งแรง
วิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวและผมแข็งแรง ส่วนวิตามินเอก็มีส่วนในกระบวนการสร้างและฟื้นฟูเซลล์ผิวหนัง การรับประทานแตงโมที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีเป็นประจำจึงอาจช่วยให้สุขภาพผิวและเส้นผมแข็งแรงขึ้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
แตงโมเป็นผลไม้ที่น้ำตาลต่ำและแคลอรี่ต่ำ
- ช่วยทำให้ข้อต่อแข็งแรงขึ้น
สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อย่างเบต้า-คริปโตแซนทีน (Beta-Cryptoxanthin) ในแตงโม อาจช่วยป้องกันข้อต่ออักเสบ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ลดลงมาได้
ข้อควรระวัง
ถึงแม้ว่าแตงโมจะมีประโยชน์มากมาย แต่ผู้ป่วยบางราย หรือผู้ที่มีความผิดปกติบางอย่าง ก็ควรหลีกเลี่ยงการทานแตงโมด้วยเช่นกัน เช่น ผู้ที่มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เพราะน้ำจากแตงโมจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ทำให้ย่อยอาหารไม่ดี ผู้เป็นโรคเยื่อบุลำไส้อักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตต่ำ มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสียบ่อยๆ หรือช่วงที่มีไข้สูง
อย่างไรก็ตามของที่มีประโยชน์ ก็ต้องทานแต่พอดี อย่าทานมากเกินไป เพราะต่อให้มีประโยชน์มากเท่าไร หากทานมากเกินไป ก็เป็นโทษต่อร่างกายของเราได้เหมือนกัน