เพื่อให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบ กรณี สถานีให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ม.2 ต.ป่าโมก อ.ป่าโมก ถูกดำเนินคดีฐานรุกล้ำที่ชลประทาน และ ศาลมีคำสั่งให้รื้อถอนพร้อมย้ายออก
หากแต่ผู้ถูกดำเนินคดีกลับไม่ดำเนินการใด ยังเปิดให้บริการตามปกติ แม้เวลาผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว จนทำให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้านบางส่วน นายไพฑูรย์ โพธิปิน อายุ 70 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งรับหน้าที่ให้ข้อมูลผู้ว่าฯ กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 ชาวบ้านบางส่วนถูกร้องเรียนกรณีรุกที่ชลประทาน ในจำนวนนั้นคือตนด้วย ซึ่งเมื่อทราบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ดินดังกล่าว มีการบังคับใช้กฎหมาย ตนน้อมรับความผิดพร้อมรับโทษ ตาม พรบ.ชลประทานหลวง ซึ่งศาลสั่งปรับ และ สั่งรื้อถอนอาคารปลูกสร้างที่รุกล้ำ โดยตนดำเนินการตามทั้งหมด ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนได้ย้ายสถานที่พักออกตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดการรุกล้ำที่เช่นกัน
กระทั่งมาทราบภายหลังว่า ผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนชาวบ้าน ถือ หญิงรายหนึ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของคนมีสีตำแหน่งสูงในพื้นที่ ได้ประกอบกิจการสถานบริการเชื้อเพลิง ริมถนนป่าโมก – โคกโคเฒ่า หลัก กม.ที่ 25 ม.2 ต.ป่าโมก ซึ่ง ส่วนงานชลประทานจังหวัดอ่างทอง ได้ตรวจสอบและพบหลักฐานว่า แม้ร้องเรียนว่าชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวรุกล้ำ หากแต่ตนเองได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง อาทิ อาคาร บ้านพักคนงาน เทคอนกรีต และ ลานดิน รุกล้ำพื้นที่ชลประทาน เช่นกัน จึงถูกแจ้งดำเนินคดีเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาศาลสั่งดำเนินคดี จำคุก 1 เดือน ให้รอลงอาญา และ ปรับ 1,000 บาท พร้อมสั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทั้งหมด
หากแต่จากเหตุการณ์นั้นจนถึงปัจจุบันผ่านมานับ 10 ปี สถานที่ก่อสร้างรุกล้ำดังกล่าว กลับพัฒนาเติบโตขึ้นและไม่มีการรื้อถอน แต่ส่วนชาวบ้านที่ถูกเจ้าของสถานบริการร้องเรียนให้ดำเนินการ กลับต้องรื้อถอนออกไป จึงเกิดข้อสงสัยว่าคดีดังกล่าว เหตุใดถึงมีข้อสรุป 2 มาตรฐาน จึงต้องการให้ผู้ว่ารากชารจังหวัดอ่างทอง ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้าน นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผวจ.อ่างทอง กล่าวว่า จะรับเรื่องนี้ตรวจสอบเพื่อเป็นการด่วนโดยมีการประชุมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เนื่องจากประชาชนทุกคนต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย สำหรับกรณีนี้ศาลมีคำสั่งลงมาอย่างชัดเจน ซึ่งได้มอบหมายให้ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอ่างทอง ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าสาเหตุที่สถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลมาจากเหตุใด เพราะคดีนี้ยาวนานกว่า 10 ปี
ขณะที่ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เข้าชี้แจงกับผู้ว่าราชการจังหวัดว่า มีการเข้าตรวจสอบมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง หากแต่เจ้าของสถานที่อ้างว่าไม่สามารถย้ายออกได้เนื่องจากมีการฝังถังเก็บน้ำมันไว้ใต้ดิน การเคลื่อนย้ายต้องมีผู้เชี่ยวชาญดำเนินการให้ จึงต้องปล่อยให้เวลาล่วงเลยมากว่า 10 ปี พร้อมประกอบกิจการไปด้วยโดยไม่หยุดให้บริการ มีรายงานเพิ่มเติมว่า จากตรวจสอบที่ตั้งสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่า ตั้งอยู่แนวพื้นที่คลองชลประทานริมถนนซึ่งเป็นคลองอีกสายที่จำเป็นต่อการทำเกษตกรของชาวบ้านในพื้นที่ ปัจจุบันคลองดังกล่าวสภาพแล้งไม่มีน้ำ แต่ยังไม่มีการยืน