ยังคงต้องติดตามกันต่อยาวๆ กับคดีน้องชมพู่ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ ที่ล่าสุด สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังได้ออกมาไลฟ์วิเคราะห์คดีน้องชมพู่ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวย้ำว่า เป็นการติดตามข่าวนี้ในฐานะคดีอาชญากรรมคดีหนึ่งที่สลับซับซ้อนเท่านั้น ไม่ใช่การพยายามขยายความเป็นเซเลบของ ลุงพล แต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีนักข่าวช่อง 3 คนหนึ่งที่ได้ลงพื้นที่ติดข่าวคดีนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีข่าว ซึ่งเธอได้ออกมาเปิดเผยกับ สรยุทธ สุทัศนะจินดาว่า หลักฐานหนึ่งที่สำคัญในคดีนี้คือ ตำรวจพบว่าในปากของน้องชมพู่มีรอยช้ำ เหมือนมีใครอุดปากเอาไว้ ตอนที่น้องหายตัวไปนั้น คาดว่าน้องอาจจะโดนเอามือปิดปากจนหมดสติ
แต่ขณะนั้น น้องชมพู่ ไม่ได้เสียชีวิตทีเดียวในทันที ทำให้ผู้ต้องหาเลยอาจจะตกใจ จึงนำร่างของน้องไปไว้ในกอไผ่ก่อน จากนั้น ลุงพล จึงไปส่งพระ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครเห็น เป็นการคาดการณ์เท่านั้น
อีกทั้งตอนนั้นผู้ต้องหาอาจจะเข้าใจว่า น้องชมพู่ เสียชีวิตไปแล้ว แต่ที่จริงน้องยังมีชีวิตอยู่ แต่อาการก็ร่อแร่ ไม่มีแรง เพราะก่อนหน้านี้น้องกินข้าวไข่เจียวไป 1 คำ และกินน้ำตามไปนิดหน่อย จากนั้น ผู้ต้องหาก็อุ้มน้องไปที่ภูเหล็กไฟเพื่ออำพรางศพ ด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า เอาไปวางกระจายๆ กัน
พิรุธในเรื่องนี้คือ น้องชมพู่ ยังถอดเสื้อผ้าเองไม่ได้ และหากพยายามถอดเองก็ต้องพันกัน แต่เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกมาและรองเท้าที่วางเอาไว้มันดูเรียบร้อยเกินไปที่เด็ก 3 ขวบจะทำได้
หลังจากที่ ลุงพล บอกว่า ตนไปรับส่งพระแล้ว เขาก็กลับมาที่บ้าน ตอนนั้นมีข่าวว่าหลานสาวหายตัวไป จึงมีการตามหาในหมู่บ้าน แต่ยังไม่มีการขึ้นไปหาที่ภูเหล็กไฟ เพราะน้องตัวเล็ก คิดว่าไม่น่าเดินขึ้นไปได้บนนั้น การตามหาแบ่งเป็นฝ่ายหญิงและชาย
ทว่าในกลุ่มผู้ชายที่ตามหา ไม่มีใครเห็นลุงพล และมาเห็นลุงพลอีกทีคือบริเวณทางลงภูเหล็กไฟ ซึ่งคนที่เห็นก็คือเจ๊บุญมา ซึ่งเธอบอกว่าเห็น ลุงพล ในท่าทางเหม่อลอย ไม่ทักทายใคร เหมือนคนไม่มีสติ จึงเกิดคำถามว่าทำไม ลุงพล ถึงขึ้นไปบนภู จากนั้นชาวบ้านก็หาจนมืด และประสานตามหมู่บ้านอื่นๆ ก็ไม่เจอ
กระทั่ง ยายตุน คนหาของป่านอกพื้นที่บ้านกกกอก ได้ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟเพื่อหาของป่ามาขาย หญิงชราเห็นรองเท้ากระจายไว้ จึงตะโกนถามว่ารองเท้านี้ของใคร เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ ก็เลยเอารองเท้าไปวางไว้บนโขดหินให้เป็นคู่ และลงจากภูไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านตามสั่ง
ต่อมา ยายตุน เล่าให้คนในร้านว่าเจอรองเท้าบนภู คนในร้านก็บอกว่าหมู่บ้านข้างๆ มีเด็กหายไป จึงได้พายายตุนมาพูดคุย และระดมกันขึ้นไปบนภูเหล็กไฟตอนกลางคืน พอใกล้จุดพบศพ ก็มีคนหนึ่งไปเจอกับรองเท้า และเป็นภาพของลุงพลที่เดินเลยไปเจอศพน้องชมพู่คนแรกในสภาพเปลือยกาย
ฉับพลันนั้นเอง ลุงพล ก็ร้องไห้อย่างหนักปานจะขาดใจ ซึ่งมีเรื่องที่น่าสงสัยคือ การที่ ลุงพล บอกว่า มีคนทำให้น้องอดอาหารจนเสียชีวิต และพยายามป้ายความผิดไปที่ชายคนหนึ่งที่ได้หายจากหมู่บ้านไป พร้อมกับบอกให้ทุกคนล้อมเขาเอาไว้
จากาการกระทำดังกล่าว จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไม ลุงพล ถึงรู้ว่าน้องอดอาหารจนเสียชีวิต ทั้งที่สภาพน้องเปลือย คำถามแรกที่ขึ้นมาในใจควรเป็นคดีล่วงละเมิด ไม่ใช่มองว่าน้องโดนทำให้อดอาหาร รวมไปถึงการบอกให้ล้อมเขาเอาไว้ เหมือนหวาดกลัวแตกตื่นว่าชายที่ ลุงพล โบ้ยว่ามีความผิดจะหนีไปได้
ต่อมาทางนักข่าวได้สอบถามว่า ทำไมลุงพลถึงคิดว่า น้องเสียชีวิตเพราะอดอาหาร ไม่ใช่เพราะถูกล่วงละเมิด ลุงพล ก็บอกว่า คนในบ้านกกกอกไม่มีใครทำแบบนั้นกับเด็ก และน้องหายไปแบบนี้ น่าจะอดน้ำ อดอาหารมาก
ทั้งนี้ ลุงเขยน้องชมพู่ ยังมีพิรุธใหญ่เรื่องหนึ่งคือ เรื่องผมของน้องชมพู่ที่ถูกสับ และตกในรถของ ลุงพล จำนวน 36 เส้น ซึ่งเป็นลักษณะของเส้นผมแหว่งไป ลักษณะไม่ใช่การเอากรรไกรตัด แต่เป็นการสับผมกับดิน ต่อมาเมื่อผ่านกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่า เส้นผมนี้เป็นเส้นผมของน้องชมพู่
อีกทั้งจากการตรวจพิสูจน์ร่างน้องในตอนแรก ที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ทางแพทย์ลงความเห็นว่าไม่มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิด แต่พอไปตรวจที่ รพ.ตำรวจ พบว่ามีร่องรอยการถูกล่วงละเมิด ซึ่งจริงๆ แล้ว การที่อวัยวะเพศมีร่องรอยนั้น เพราะเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในการตรวจหา และพอลุงพล ไปออกรายการโหนกระแส ของ พี่หนุ่ม กรรชัย และทราบผลการชันสูตรว่าน้องโดนล่วงละเมิด ลุงพล ก็ร้องไห้ อย่างหนัก
ข้อสงสัยอีกอย่างคือ เรื่องไทม์ไลน์ของ ลุงพล ที่หายไป 38 นาที ที่ ลุงพล ตอบไม่ได้ว่าหายไปไหน ซึ่งถ้าโดนถามย้ำๆ ก็จะให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน บางทีก็บอกว่าทำอย่างหนึ่ง พอถามอีกก็บอกว่าทำอย่างหนึ่ง ซึ่ง ลุงพล ก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดความจริงที่เหมือนกันทุกครั้ง บางอย่างก็จำได้ บางอย่างก็จำไม่ได้เหมือนกัน
ด้านนักข่าวเองก็เคยถามลุงพลว่า จะเป็นอย่างไรถ้าสมมุติว่าหมายจับมาออกที่ ลุงพล และมีร่องรอยดีเอ็นเอของ ลุงพล ในนั้น เขาตอบว่า วันนั้นเขาทั้งร้องไห้ ทั้งเหงื่อออก อาจเป็นไปได้ที่จะมีดีเอ็นเอของตนตกลงบนตัวน้อง แต่เมื่อไปถามผู้เชี่ยวชาญว่าในเหงื่อมีดีเอ็นเอหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ไม่มี
แต่หากเป็นขี้ไคล หนังกำพร้า ถึงจะมี ในขณะที่เมื่อนักข่าวไปถามผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆ ว่า จะเป็นอย่างไรถ้าโดนหมายจับ ผู้ต้องสงสัยคนอื่นยืนยันว่า ตนไม่มีทางที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยแน่ๆ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้ามีหมายจับมา ต้องเป็นการจับแพะอย่างแน่นอน
นักข่าวสาวของช่อง 3 ยังบอกอีกว่า มีช่วงหนึ่งที่บ้านกกกอกแตกกันไปเลย ทั้งแม่น้องชมพู่ ป้าแต๋น น้าต่าย สิ่งที่เคยเป็นบ้านกกกอก ก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากได้รับผลกระทบกับกระแสข่าวนี้ ทำให้บางบ้านมองหน้ากันไม่ติด ถึงขั้นนำสังกะสีมากั้น จากที่แต่ก่อนกินข้าวร่วมกันปกติ
ขณะที่ บ้านแม่น้องชมพู่ จะอยู่กับน้าแต น้าต่าย ซึ่งกลายเป็นว่า แม่น้องชมพู่ต้องอยู่คนเดียว และมีความไม่เข้าใจกันระหว่างพี่น้อง นักข่าวเคยมีการถามกับคุณตาน้องชมพู่ ว่าทำไมถึงมีการเลือกข้างลูก 2 ฝ่าย ซึ่งคุณตาบอกว่า ต่างคนต่างทำมาหากิน ต้องรอเวลาให้กลับมาคุยกันเอง
ด้าน สรยุทธ บอกว่า ตอนนี้ถือว่าลุงพลยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เมืองไทยก็ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ที่ผู้ต้องหามีแฟนคลับ อีกทั้งยังเป็นเซเลบมาก่อน การนำเสนอข่าวเรื่องนี้ของช่อง 3 นั้น อาจจะน้อยกว่าปกติ ทั้งที่นักข่าวต้องไปทำข่าวมาเยอะ ซึ่งนักข่าวก็ไม่ได้น้อยใจอะไร แม้จะติดตามข่าวมาตั้งนาน
โดยการนำเสนอ ข่าวลุงพล นั้น ต้องบอกว่า เราไม่ได้นำเสนอลุงพลในฐานะเซเลบคดีฆาตกรรม การที่เสนอข่าวว่า ลุงพลไปกินข้าว โหงวเฮ้งเป็นอย่างไร ไปห้างแล้วห้างแตก ขายอาหารเสริม แต่เรากำลังเสนอคดีอาชญากรรมของเด็กคนหนึ่ง ตนมองเรื่องนี้เป็นคดีอาชญากรรมคดีหนึ่ง
อย่างไรก็ตามผู้ประกาศข่าวชื่อดังยังบอกทิ้งท้ายอีกว่า ประเทศนี้ไม่ใช่ต้องนำเสนอแต่เรื่องวัคซีน หรืองบประมาณ แต่เราต้องจัดสัดส่วนของรายการ หากรายการไหนอยากจัดรายการแล้วให้น้ำหนักข่าวที่ลุงพล ก็ว่าไป เราก็ไปว่าเขาไม่ได้ แต่รายการของตนจะให้น้ำหนักไปที่เรื่องของวัคซีน เรื่องของคนในสังคม แต่หากวันไหนมีการจับกุม ก็อาจจะให้น้ำหนักข่าวลุงพลมากขึ้นไปหน่อย ซึ่งมันไม่มีอะไรที่มันขาวหรือดำ 100%