จากข้อมูลในสื่อออนไลน์ว่ามีการสั่งห้ามใช้เตาไมโครเวฟ เนื่องจากมีการพบว่าเตาไมโครเวฟปล่อยคลื่นวิทยุออกมาขณะอุ่นอาหาร ทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนนั้น ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า
หลักการทำงานของเตาไมโครเวฟเป็นการใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข้าไปในอาหาร ซึ่งจะทำให้เกิดการสั่นของโมเลกุลของน้ำในอาหาร เมื่อโมเลกุลของน้ำสั่นจะเกิดความร้อนขึ้นจนทำให้อาหารสุก ซึ่งกลไกการทำงานไม่มีรังสีเกิดขึ้นเลย จึงไม่มีการตกค้างของรังสีใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้ง เรื่องที่แชร์ในสื่อออนไลน์ยังไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ อันตรายที่กล่าวอ้างจึงไม่เป็นความจริง
โดยปกติเตาไมโครเวฟที่ได้มาตรฐานมีเครื่องหมาย มอก. จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะมีความปลอดภัยสูง คลื่นไมโครเวฟที่ออกมาจากเตาไมโครเวฟนั้น เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการแตกตัว ไม่ทำให้โมเลกุลของสารเปลี่ยน และไม่มีการตกค้างจึงไม่มีอันตราย อีกทั้งมีโอกาสน้อยมากที่เตาไมโครเวฟจะมีคลื่นรั่วออกมาเกินจากระดับมาตรฐาน มอก.1773-2548 กำหนด (ที่ระยะ 5 เซนติเมตรจากผิวเตารั่วได้ไม่เกิน 5 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร)
ซึ่งอันตรายที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากเตาไมโครเวฟที่มีความเก่ามาก ๆ เป็นสนิมผุ วัสดุเคลือบลอก บานพับประตูชำรุด หรือกระจกแตก ซึ่งอาจมีคลื่นไมโครเวฟรั่วออกมา หากมีความเข้มข้นพอจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ และบางคนที่ชอบเอาหน้าไปใกล้เตาไมโครเวฟเพื่อดูอาหารก็จะทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรเข้าใกล้เตาไมโครเวฟขณะเครื่องกำลังทำงาน
เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถมองเห็นได้และไม่มีกลิ่น ต้องใช้เครื่องมือตรวจวัด และสำหรับประชาชนที่สนใจตรวจสอบการรั่วของเตาไมโครเวฟ สามารถนำเตาไมโครเวฟมาตรวจได้ที่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในเวลาราชการ สำหรับเตาไมโครเวฟที่ผ่านการตรวจรับรองความปลอดภัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วจะได้รับสติ๊กเกอร์ติดที่เตาไมโครเวฟเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความปลอดภัย
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : เรื่องที่แชร์ในสื่อออนไลน์ยังไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ และกลไกการทำงานของเตาไมโครเวฟ คือใช้คลื่นไมโครเวฟทำให้เกิดการสั่นที่โมเลกุลของน้ำในอาหาร จึงไม่มีการเกิดรังสีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่ tnews